ควร HODL Bitcoin หรือไม่?
มีปัจจัยใดบ้างที่คุณควรพิจารณาว่าควรถือครอง Bitcoin ไว้ในระยะเวลานาน
มีปัจจัยใดบ้างที่คุณควรพิจารณาว่าควรถือครอง Bitcoin ไว้ในระยะเวลานาน
ในขั้นแรกมาทำความรู้จักกับศัพท์เฉพาะ “HODL” โดยมันเริ่มต้นมาจากมีคนสะกดผิดจากคำว่า “Hold” ในฟอรัมสาธารณะ “bitcointalk.com” แต่ชุมชน Bitcoin กลับมองว่ามันน่าขบขันมากจนได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งคำว่า “HODL” เป็นคำที่ใช้แสดงถึงการถือครองคริปโตของตนเองเอาไว้แทนที่จะปล่อยขาย
ในเดือนธันวาคม ปี 2017 ที่ถือเป็นปีทองของนักลงทุน เนื่องจากราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นมากและได้ทำลายสถิติครั้งเก่า โดยราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เหล่าผู้คนที่ชื่นชอบในตัว Bitcoin ต่างก็ได้ทำการคาดการณ์กันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับราคาของมันว่าจะพุ่งขึ้นไปได้สูงแค่ไหน แต่หลังจากนั้น 3 เดือนต่อมาในปี 2018 การคาดการณ์ของพวกเขาไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากราคาของ Bitcoin ได้ลดลงมามากกว่า 2 ใน 3 จากระดับสูงสุดในเดือนธันวาคมของปีก่อน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 47% ด้วยกัน
เนื่องจาก Bitcoin นั้นเป็นที่รู้จักอย่างดีในเรื่องความผันผวนของราคา แต่บางเหตุการณ์ก็ไม่ใช่ความผันผวนที่นักลงทุนคาดหวังไว้มันจึงส่งผลให้เกิดความกังวล (เพียงเล็กน้อย) ซึ่งถ้าหาก Bitcoin เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น การเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้เกิดความกังวลอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดอย่างแน่นอน และข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นบทสรุปโดยย่อของเหตุการณ์ Bear Trap และ Bull Trap ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจในการ HODL Bitcoin ของคุณได้อีกด้วย
มีหลายเหตุการณ์ด้วยกันที่ส่งผลต่อราคาปัจจุบันของ Bitcoin ซึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นอาจสังเกตเห็นข่าวการแฮ็กและเรื่องอื้อฉาวอย่างต่อเนื่องภายในระบบนิเวศของคริปโต และแน่นอนว่าชื่อเสียงของคริปโตในฐานะที่เป็นช่องทางสำหรับกิจกรรมทางอาชญากรรมนั้นยังคงมีอยู่ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดในปี 2019 คือกรณีของตลาดแลกเปลี่ยนสัญชาติญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “Coincheck” ได้ถูกแฮ็กเกอร์โจรกรรมเงินไปได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ราคาของ Bitcoin และคริปโตสกุลอื่นลดลงพร้อมกัน โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ก็ได้มีการพัฒนารูปแบบการซื้อขาย “Bitcoin Futures” เข้ามาในตลาดทันที ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องด้วยปริมาณการลงทุนขนาดใหญ่ของนักลงทุนสถาบัน อีกทั้งยังช่วยลดความผันผวนของราคาลงได้เช่นเดียวกัน
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สนับสนุน Bitcoin ตั้งแต่การเปิดตัวออกมานั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดเหตุการณ์ Bear Trap เช่นเดียวกัน ที่ไม่เว้นแม้แต่บริษัทในเครือของ Alphabet Inc. ได้แก่ Google (GOOG), Facebook Inc. (FB), Twitter Inc. (TWTR) และ Reddit ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการโฆษณาคริปโต ซึ่งพวกเขาได้กำหนดข้อจำกัดหรือทำการลดการมองเห็นข่าวของคริปโตออกไปจากพื้นที่ของพวกเขาทั้งหมด รวมถึงได้ทำการปิดกั้นการชำระเงินผ่าน Bitcoin ทั้งหมดอีกด้วย หลังจากข่าวนี้ได้ปรากฎออกมานั้น กลับทำให้ตลาดคริปโตได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้คนต่างต้องการอยากทราบถึงเหตุผลเบื้องหลังของการออกข้อกำหนดด้านโฆษณาและการปิดกั้นดังกล่าวว่ามีที่มาอย่างไร
แม้แต่ข่าวเชิงบวกของ Bitcoin ก็ยังมาพร้อมกับความน่าสงสัยแฝงมาด้วยเสมอ ตัวอย่างเช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Bitcoin นั้นถือว่าราคาสูงและมีอุปสรรคต่อการทำธุรกรรมในปริมาณมาก จึงส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน แต่หลังจากที่ได้มีการใช้เทคโนโลยีมาจัดการปัญหาดังกล่าว เช่น การใช้ Lightning Network และ Segregated Witness เป็นต้น ซึ่งเรียกได้ว่าเปรียบเสมือนยาครอบจักรวาลสำหรับปัญหาของ Bitcoin เพราะสามารถแก้ปัญหาการปรับขนาดบล็อกของ Bitcoin และเพิ่มความเร็วของเครือข่ายได้อีกด้วย แต่ท่ามกลางปัญหาอื่น ๆ เทคโนโลยีเหล่านี้กลับไม่ช่วยอะไรได้เลย
หมายความว่าในทุกครั้งที่มีข่าวอื้อฉาวต่อตัว Bitcoin นั้นก็มักจะมีโซลูชั่นหรือวิธีการแก้ปัญหาตามมาในทันที จึงเป็นที่สังเกตว่าเหตุการณ์ Bear Trap นั้นเป็นเหตุการณ์ที่จะสร้างความรู้สึกเชิงลบก่อน จากนั้นด้วยวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ตามมาจะสามารถทำให้เปลี่ยนอารมณ์ไปในเชิงบวกได้ ถึงแม้ว่าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยแฝงมาด้วยเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิธีการเหล่านี้ก็ค่อนข้างได้ผลที่จะเป็นการแฝงโฆษณา Bitcoin ไปในตัวได้เช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ Bull Trap นั้นขึ้นอยู่กับความอดทนของผู้ที่เชื่อมั่นในตัว Bitcoin ซึ่งเหตุการณ์นี้มันจะชี้ไปที่การเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า เพื่อพิสูจน์ว่าราคาของ Bitcoin จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน หมายความว่าให้คุณอดทนถือครอง Bitcoin จนกว่าจะถึงราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในบรรดาผู้เสนอทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุดคือ “Thomas Lee” หัวหน้าฝ่ายวิจัยที่ Fundstrat Global Advisors ซึ่งให้คำแนะนำในการ HODL Bitcoin ว่า “โดยทั่วไปแล้วเวลาของตลาดมักไม่เอื้ออำนวยในการลงทุนของตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ที่หากนักลงทุนพลาด 10 วันที่ดีที่สุดของปีจะทำให้ผลตอบแทนรายปีลดลงเหลือ 5.4% จาก 9.2% กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกรณีของการซื้อและถือครองตราสารทุนคือค่าเสียโอกาสของการพลาด 10 วันที่ดีที่สุดไป” ซึ่งเขาได้ใช้ตรรกะเดียวกันนี้กับตัว Bitcoin และระบุว่าผลตอบแทนรายปีของ Bitcoin จะลดลงถึง 25% ด้วยกันหากพลาด 10 วันที่ดีที่สุดของปีตามข้อมูลของ Fundstrat Global โดยในขณะเดียวกัน Lee ก็ตั้งราคาเป้าหมายของ Bitcoin ในช่วงกลางปีที่ $20,000 และราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ $25,000 อีกด้วย
การดำเนินการล่าสุดของรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลระบุว่า Bitcoin ยังคงไปต่อได้ในอนาคตด้วยหลายปัจจัยที่ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ Bull Trap ตัวอย่างเช่
สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในการเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin นั้นด้วยปัจจัยที่ได้ยกตัวอย่าง อาจช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่รบกวนการใช้งาน Bitcoin ได้ และเนื่องด้วยราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 อาจรับประกันได้ว่าจะมีนักลงทุนและนักลงทุนสถาบันเข้ามาสนับสนุนให้ Bitcoin มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับผลกำไรในอนาคต
“หากคุณไม่มีเวลา หรือมีความรู้ในการบริหารความเสี่ยงไม่มากนัก การ HODL ถือเป็นตัวเลือกที่ดี”
เหตุการณ์ Bull Trap จะชี้ไปให้เห็นว่าราคาของ Bitcoin เป็นไปตามรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้จากแนวโน้มก่อนหน้าและมันจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสำหรับ Bear Trap นั้นจะชี้ไปที่ความรู้สึกเชิงลบและข่าวอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับคริปโตสกุลอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างโฆษณาให้สามารถขาย Bitcoin ได้มากยิ่งขึ้น หมายความว่าทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณอย่างแน่นอน เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้มีเรื่องของจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงพฤติกรรมโดยรวมของนักลงทุนในตลาดที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็อาจส่งผลต่อความรู้สึกของคุณได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้การตั้งเป้าหมายของการ HODL ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน หากคุณต้องการ HODL ไว้เพื่อที่จะปล่อยขายที่ราคาสูงสุดที่คาดการณ์ไว้ เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นก็อาจส่งผลต่อการตัดสินใจได้ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาในการนั่งมอนิเตอร์ราคาทุกวัน หรือมีความรู้ในการบริหารความเสี่ยงไม่มากนัก การ HODL ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม ซึ่งคุณสามารถซื้อ Bitcoin ไว้จำนวนหนึ่งจากนั้นก็เก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้วก็ฝังลืมมันไปได้เลย
เงินทุนที่จะนำมา HODL ควรเป็นเงินเย็นเท่านั้น