อยากซื้อคริปโต ต้องทำอย่างไร? และควรรู้อะไรบ้าง?
การศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จง่ายยิ่งขึ้น
การศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จง่ายยิ่งขึ้น
คริปโต เป็นคำย่อมาจาก “คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)” หมายถึงสกุลเงินที่ถูกเข้ารหัสทางดิจิทัล “Cryptography” จึงเป็นที่มาของคำว่า Cryptocurrency ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความพิเศษของมันคือการทำงานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือการกระจายอำนาจ (Decentralized) หมายถึงจะไม่มีตัวกลางหรือหน่วยงานใด ๆ เข้ามาควบคุมหรือแทรกแซงได้ในระหว่างการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านคริปโต นอกจากนี้คริปโตทุกสกุลที่มีอยู่บนโลกนั้นสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน และทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ รวมไปถึงสามารถใช้จ่ายแทนเงินสด สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่รองรับการชำระเงินด้วยคริปโตได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ในการสร้างคริปโตขึ้นมาบนโลกนั้น หลัก ๆ ก็เพื่อความต้องการให้มันเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เทียบเท่ากับสกุลเงินดั้งเดิมที่เราใช้จ่ายกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถของคริปโตบางสกุลก็เป็นมากกว่าเพียงแค่สกุลเงิน แต่ยังหมายรวมไปถึงความสามารถในการเปิดพื้นที่ให้กับผู้คนได้เข้ามาร่วมพัฒนาระบบนิเวศคริปโตไปด้วยกันอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้มีคริปโตกำเนิดขึ้นมาแล้วมากกว่า 12,000 สกุล และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีเพียงประเทศเอลซัลวาดอร์เท่านั้นที่ประกาศให้หนึ่งในคริปโตอย่าง “Bitcoin” เป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่มันก็ตามมาด้วยเสียงทัดทานมากมาย เนื่องจากระบบนิเวศของคริปโตนั้นยังไม่ถือว่าเจริญเติบโตเต็มที่ แต่บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะปฏิวัติโลกทั้งใบไปตลอดกาลอย่างที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้เมื่อหลายสิบปีก่อน
อ้างอิงข้อมูลจาก CoinMarketCap.com ณ วันที่ 21/9/2021 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคริปโต เช่น การจัดอันดับตามมูลค่าตลาด ลิสต์รายการคริปโตสกุลใหม่ มูลค่ารวมตามราคาตลาด ปริมาณการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และสัดส่วนการถือครองมูลค่าตามตลาด เป็นต้น ในขณะนี้มีคริปโตที่ถูกลิสต์ไว้บนเว็บไซต์แล้วกว่า 12,012 สกุล, มีจำนวน Exchange กว่า 411 แพลตฟอร์ม, มูลค่ารวมตามราคาตลาดอยู่ที่ 63 ล้านล้านบาท, ปริมาณการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท และเว็บไซต์ยังระบุว่าจากมูลค่ารวมตามราคาตลาดนั้น Bitcoin ถือครองในสัดส่วน 42.4% และเป็นของ ETH อีกกว่า 18.7% ด้วยกัน
จัดเรียงตามมูลค่าตามตลาดของแต่ละสกุล ซึ่งจะอ้างอิงข้อมูลจาก CoinMarketCap.com ณ วันที่ 21/9/2021 ดังนี้
คริปโต | มูลค่าตามตลาด |
Bitcoin (BTC) | ฿27 ล้านล้าน |
Ethereum (ETH) | ฿11.8 ล้านล้าน |
Tether (USDT) | ฿2.3 ล้านล้าน |
Cardano (ADA) | ฿2.3 ล้านล้าน |
Binance Coin (BNB) | ฿2 ล้านล้าน |
XRP (XRP) | ฿1.47 ล้านล้าน |
Solana (SOL) | ฿1.37 ล้านล้าน |
USD Coin (USD) | ฿9.8 แสนล้าน |
Polkadot (DOT) | ฿9.6 แสนล้าน |
Dogecoin (DOGE) | ฿9.2 แสนล้าน |
“เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนคริปโตคือ Blockchain และสิ่งที่ขับเคลื่อน Blockchain คือผู้ใช้ทุกคน”
มีหลายเหตุปัจจัยด้วยกันที่ทำให้คริปโตได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดตัวคริปโตสกุลแรกอย่าง Bitcoin ในปี 2009 ก็ผ่านมาเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีการถือกำเนิดขึ้นของคริปโตสกุลใหม่ ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางเทคโนโลยี ที่อาจเข้ามาปฏิวัติโลกทั้งใบก็เป็นได้ โดยเหตุผลหลักที่ทำให้คริปโตเป็นสิ่งที่น่าจับตามองนั้น มีดังต่อไปนี้
1 Exchange = 1 ตลาด สมาชิกของแต่ละ Exchange จะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง
คริปโตแต่ละสกุลอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หรือเรียกว่าอยู่ในช่วงของตลาดกระทิง แต่สำหรับนักลงทุนจำนวนมากนั้นกลับมองว่า สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงช่องทางการเก็งกำไรไม่ใช่การลงทุนจริง ซึ่งอ้างเหตุผลเดียวกับสกุลเงินดั้งเดิมว่า คริปโตนั้นไม่มีกระแสเงินสด ดังนั้นสำหรับการทำกำไรได้จากตลาดนี้ จึงหมายถึงว่า “มีใครบางคนต้องจ่ายมากกว่าที่คุณจ่าย”
พฤติกรรมดังกล่าวเป็นทฤษฎีการลงทุนที่เรียกว่า “The Greater Fool” หรือ “ทฤษฎีคนที่โง่กว่า” ซึ่งจะมีพฤติกรรมตรงข้ามกับธุรกิจที่มีการจัดการที่ดี ที่หมายถึงการเพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไปได้โดยการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และกระแสเงินสดของการดำเนินงาน
“สำหรับผู้ที่มองเห็นคริปโต เช่น Bitcoin ว่าเป็นสกุลเงินแห่งอนาคตนั้น ควรพิจารณาว่าสกุลเงินที่ดีต้องมีเสถียรภาพทางราคา” คำพูดดังกล่าวนี้มาจากชุมชนการลงทุนที่ได้แนะนำบรรดานักลงทุนให้หลีกเลี่ยงตลาดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในตำนาน “Warren Buffet” ที่ได้เคยเปรียบเทียบ Bitcoin กับเช็คกระดาษว่า “มันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการส่งเงิน และคุณสามารถทำมันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน แต่ดังที่กล่าวมานั้น เช็คก็เป็นช่องทางในการโอนเงินเช่นเดียวกัน เช็คมีมูลค่าเงินเป็นจำนวนมากหรือไม่? หรือมันมีค่าแค่เพราะมันสามารถส่งเงินได้?”
ย้อนกลับไปที่ข้อความ สำหรับผู้ที่มองเห็นคริปโต เช่น Bitcoin ว่าเป็นสกุลเงินแห่งอนาคตนั้น ควรพิจารณาว่าสกุลเงินที่ดีต้องมีเสถียรภาพทางราคา ก็เพื่อให้ผู้ค้าและผู้บริโภคสามารถกำหนดราคาที่ยุติธรรมสำหรับสินค้าได้ ซึ่งสำหรับ Bitcoin และคริปโตทุกสกุลนั้นยังมีปัญหาในกรณีดังกล่าวอยู่ ตัวอย่างเช่น ในเดือนธันวาคม 2017 มีการซื้อขาย Bitcoin ที่ราคา $20,000 แต่มูลค่าของมันในปีต่อมากลับลดเหลือแค่ $3,200 เท่านั้น แต่เมื่อกลางปี 2021 ที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin ก็ได้ทำ All Time High ที่ $64,000 ด้วยกัน หมายความว่าความผันผวนของราคาในลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหา หากในอนาคต Bitcoin มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะนำมันมาใช้จ่ายและหมุนเวียนน้อยลง เนื่องจากทุกคนมีความคิดเดียวกันว่า ทำไมต้องใช้ Bitcoin ในเมื่อมูลค่าของปีหน้าอาจสูงกว่าถึง 3 เท่า? ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้โอกาสที่ Bitcoin จะเป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการนั้นยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการอนุญาตให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการกำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 15% สำหรับนักลงทุนในไทยที่ใช้แพลตฟอร์มที่ทาง ก.ล.ต. ออกใบอนุญาตให้ เช่น Bitkub หรือ Zipmex เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าด้วย “พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” หรือ “พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยมีจุดมุ่งหมายในการกำกับดูแลการระดมทุนผ่านการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในวงกว้าง
การซื้อคริปโตนั้นไม่เหมือนการซื้อหุ้น โดยการซื้อหุ้นจะทำให้คุณเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของเจ้าของบริษัท แต่การซื้อคริปโตจะทำให้คุณเป็นเจ้าของสกุลเงินในมูลค่าที่คุณซื้อ โดยในการซื้อคริปโตนั้นคุณจะต้องมี “Wallet” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันออนไลน์ที่สามารถจัดเก็บสินทรัพย์ของคุณได้ โดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องสร้างบัญชีใน Exchange ก่อน จากนั้นคุณจะสามารถโอนเงินจริงเพื่อทำการซื้อคริปโต เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ได้
Bitkub เป็นแพลตฟอร์ม Exchange ที่ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตยอดนิยมในประเทศไทย และซื้อขายได้ด้วยสกุลเงินบาท อีกทั้งคุณสามารถสร้าง Wallet และซื้อหรือขาย Bitcoin รวมไปถึงคริปโตสกุลอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมี Exchange ออนไลน์อีกจำนวนมากที่นำเสนอการให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโต เช่น Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น
เมื่อคุณสามารถเลือกแพลตฟอร์มที่คุณต้องการซื้อคริปโตแล้วนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ การสมัครสมาชิกและเข้าขั้นตอน KYC เพื่อทำการยืนยันตัวตนกับทางแพลตฟอร์มก่อนจะได้รับอนุมัติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้ระยะเวลารอคอยประมาณ 1 วันทำการเท่านั้น จากนั้นเมื่อคุณทำการยืนยันตัวตนเสร็จสิ้นแล้วคุณจะสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารของคุณ เข้าสู่แพลตฟอร์มได้ทันที เพื่อทำการสร้างคำสั่งซื้อคริปโตในสกุลที่คุณต้องการต่อไป
หากคุณต้องการซื้อคริปโตในโครงการระดมทุนเสนอขายเหรียญเริ่มต้น ICO โปรดพิจารณาจากรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนที่เจ้าของโครงการยื่นต่อ ก.ล.ต. สำหรับข้อมูลต่อไปนี้
อาจต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ซึ่งมันยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ โอกาสของคุณก็จะยิ่งเป็นไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายมากเท่านั้น แต่ความชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินนั้นจะประสบความสำเร็จ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในตลาดเป็นอย่างมาก
นอกเหนือจากข้อกังวลดังที่กล่าวมานั้น การมีคริปโตในครอบครองอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม เนื่องจากแฮกเกอร์อาจพยายามเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กำลังดูแลสินทรัพย์ของคุณได้ ตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในปี 2014 หลังจากที่แฮกเกอร์ได้โจรกรรม Bitcoin ไปหลายร้อยล้านดอลลาร์ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ไม่ใช่ความเสี่ยงโดยทั่วไปสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น และกองทุนในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ ดังนั้นการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนที่มีคริปโตในครอบครอง
หากคุณเลือกใช้ Exchange ในการซื้อคริปโต ทาง Exchange จะทำการจัดเก็บคริปโตของคุณไว้ให้ โดยส่วนมากจะใช้การจัดเก็บประเภท Cold Wallet และ Hot Wallet แต่หากคุณซื้อคริปโตด้วยแพลตฟอร์มอื่นก็ยังมีอีกหลายทางเลือกในการจัดเก็บสินทรัพย์ของคุณ ยกตัวอย่างดังนี้
คริปโตถือเป็นตลาดที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร และมีความผันผวนที่คาดไม่ถึง ซึ่งการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดดยทั่วไปนั้นมักมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในคริปโต แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะเป็นเจ้าของสกุลเงินทางดิจิทัลจริง ๆ โดยจะยกตัวอย่างคริปโตที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ได้แก่ Bitcoin และ Ethereum มีข้อมูลเบื้องต้นดังนี้
อยากได้ Bitcoin (BTC) ทำอย่างไร?
Bitcoin ถือเป็นพี่ใหญ่ในวงการคริปโตที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เนื่องจากเป็นคริปโตสกุลแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto เมื่อปี 2009 ที่เขาได้อธิบายแนวคิดและเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของ White Paper ที่ได้อธิบายการกำเนิดบิทคอยน์เอาไว้ว่า “จะปล่อย Bitcoin ออกมาหมุนเวียนในระบบเพิ่มทุก ๆ 1 บล็อกของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ (หรือทุก ๆ 10 นาที) และทุก ๆ 4 ปี จำนวน Bitcoin ที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งหรือเรียกว่า Halving (จาก 50 Bitcoin ต่อ 1 บล็อก เป็น 25,12.5,6.25,…ในทุก ๆ 4ปี) และ Bitcoin มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 21 ล้านบิทคอยน์”
หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน วิธีการจะได้ Bitcoin มาครอบครองคงจะต้องบอกว่า “อยากได้ก็ต้องขุด” อธิบายง่าย ๆ คือการขุด Bitcoin จะทำต้องผ่านกระบวนการทางเทคนิคบนเทคโนโลยี Blockchain นั่นก็คือการแก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อรับรางวัลเป็น Bitcoin ที่เกิดขึ้นบน Blockchain แต่ละบล็อก ซึ่งจะเรียกหลักการทำงานของ Bitcoin ว่าเป็นอัลกอริธึม Proof of Work (PoW) หรือก็คือผลตอบแทนของการทำงานที่จะได้รับรางวัลจากการแก้สมการ โดยการขุดมีต้นทุนในการขุดค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟที่ใช้ในการขุด หรือชุดคอมพิวเตอร์ของนักขุด แต่ในปัจจุบันมีวิธีที่ง่ายกว่าการขุด ซึ่งก็คือการซื้อ Bitcoin นั้นง่ายมาก ๆ เพียงแค่คุณซื้อผ่านแพลตฟอร์ม Exchange ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการซึ่งคุณสามารถเลือกตามความเหมาะสมได้ เช่น Bitkub, Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น
อยากได้ Ethereum (ETH) ทำอย่างไร?
Ethereum เป็นคริปโตที่มีมูลค่าทางตลาดเป็นอันดับสองรองจาก Bitcoin ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Vitalik Buterin ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Bitcoin มาก่อน โดยการที่เขาแยกตัวออกมานั้นเป็นเพราะเขามองเห็นจุดบกพร่องบน Bitcoin และต้องการสร้างคริปโตสกุลใหม่ที่มาแก้ทางจุดบกพร่องเหล่านั้น โดยหลักการที่เป็นจุดเด่นของ Ethereum ที่ไม่เหมือนกับ Bitcoin คือเป็นการสร้างขึ้นในรูปแบบที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์บนโลกดิจิทัล หรือเรียกว่าระบบ Open Source ที่สามารถให้ใครก็ได้เข้ามาพัฒนาหรือสร้างคริปโตเป็นของตนเอง รวมไปถึงการสร้าง Daaps และ Smart Contract ได้อีกด้วย โดยการเขียนโปรแกรมลงไปบนเครือข่าย Ethereum
การจะได้ Ethereum ไว้ในครอบครองก็มีวิธีการไม่ต่างจาก Bitcoin ก็คือการขุดบนเทคโนโลยี Blockchain โดยการขุดก็จะใช้วิธีการแก้สมการเพื่อรับรางวัลเป็น Ethereum เช่นเดียวกัน และอีกวิธีก็คือการซื้อหรือการเทรดผ่าน Exchange ต่าง ๆ ที่คุณสามารถซื้อมาเก็บไว้และทำกำไรกับมันได้ตามกลไกตลาดเมื่อราคามีการปรับสูงขึ้น เช่น Bitkub, Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น
หากคุณมีคริปโตสกุลใดก็ตามในครอบครอง การซื้อมาและขายไปก็ยังไม่ใช่วิธีการเดียวที่สามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งในวงการคริปโตนั้นยังมีผู้ให้บริการที่คิดค้นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ให้คุณได้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น การ Saving และการ Staking เป็นต้น
การ Saving นั้นเรียกอีกอย่างว่า “บัญชีออมทรัพย์” ซึ่งเป็นรูปแบบของการสร้างรายได้ที่คล้ายคลึงกับการฝากเงินกับธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน โดยในวงการคริปโตจะมีความแตกต่างตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำธุรกรรมการฝากเหรียญหรือคริปโตนี้ผ่านตัวกลางใด ๆ แค่เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตภัณฑ์นี้คุณก็สามารถเปิดบัญชีออมทรัพย์คริปโตได้ทันที เช่น CoinLoan, Binance และ Celsius เป็นต้น
การ Staking หรือบัญชีค้ำประกัน โดยหลักการสร้างกำไรจากวิธีนี้คือการล็อคเหรียญหรือคริปโตของคุณไว้กับแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการผลิตภัณฑ์นี้ไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยระหว่างการล็อคเหรียญคุณจะไม่สามารถทำการซื้อขายหรือกระทำการใด ๆ กับมันได้เลย จากนั้นระบบจะทำการประมวลผลสุ่ม Node ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรม ซึ่ง Node ของผู้ใดก็ตามที่ถูกสุ่มขึ้นมาก็จะได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในสกุลเดียวกับเหรียญหรือคริปโตที่ได้ทำการ Staking ไว้ และในวิธีการนี้โอกาสที่โดนสุ่มจะมีน้อยหรือมากนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคริปโตที่ทำการล็อคไว้ ยิ่งทำการล็อคคริปโตเอาไว้เป็นจำนวนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น และผลตอบแทนที่ได้ก็จะยิ่งมากขึ้นไปด้วย ซึ่งแพลตฟอร์มที่เปิดให้ Staking เช่น CoinLoan, Binance และ Celsius เป็นต้น
การซื้อคริปโตถือเป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตลาดการเงินประเภทอื่นคือ ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงและรุนแรงบ่อยครั้ง แน่นอนว่าความผันผวนรูปแบบดังกล่าวนั้นคือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้ที่สนใจจะซื้อคริปโตควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานของคริปโต, หลักการทำงานของคริปโต และจุดประสงค์ในการลงทุนของตัวคุณเอง เป็นต้น ซึ่งการทำความเข้าใจก่อนที่คุณจะลงเงินไปกับมัน ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ดังนั้นโปรดระลึกเสมอว่า “อย่าลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ”