Connect with us

อยากซื้อคริปโต ต้องทำอย่างไร? และควรรู้อะไรบ้าง?

การศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จง่ายยิ่งขึ้น

คริปโตคืออะไร?

คริปโต เป็นคำย่อมาจาก “คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)” หมายถึงสกุลเงินที่ถูกเข้ารหัสทางดิจิทัล “Cryptography” จึงเป็นที่มาของคำว่า Cryptocurrency ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความพิเศษของมันคือการทำงานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือการกระจายอำนาจ (Decentralized) หมายถึงจะไม่มีตัวกลางหรือหน่วยงานใด ๆ เข้ามาควบคุมหรือแทรกแซงได้ในระหว่างการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านคริปโต นอกจากนี้คริปโตทุกสกุลที่มีอยู่บนโลกนั้นสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน และทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ รวมไปถึงสามารถใช้จ่ายแทนเงินสด สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่รองรับการชำระเงินด้วยคริปโตได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ในการสร้างคริปโตขึ้นมาบนโลกนั้น หลัก ๆ ก็เพื่อความต้องการให้มันเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เทียบเท่ากับสกุลเงินดั้งเดิมที่เราใช้จ่ายกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถของคริปโตบางสกุลก็เป็นมากกว่าเพียงแค่สกุลเงิน แต่ยังหมายรวมไปถึงความสามารถในการเปิดพื้นที่ให้กับผู้คนได้เข้ามาร่วมพัฒนาระบบนิเวศคริปโตไปด้วยกันอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้มีคริปโตกำเนิดขึ้นมาแล้วมากกว่า 12,000 สกุล และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีเพียงประเทศเอลซัลวาดอร์เท่านั้นที่ประกาศให้หนึ่งในคริปโตอย่าง “Bitcoin” เป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่มันก็ตามมาด้วยเสียงทัดทานมากมาย เนื่องจากระบบนิเวศของคริปโตนั้นยังไม่ถือว่าเจริญเติบโตเต็มที่ แต่บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะปฏิวัติโลกทั้งใบไปตลอดกาลอย่างที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้เมื่อหลายสิบปีก่อน

จุดเด่น

  • คริปโตจัดเป็นสกุลเงินเสมือนที่มีตัวตนในรูปแบบดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้
  • การซื้อหุ้นจะทำให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในเจ้าของบริษัท แต่การซื้อคริปโตจะทำให้คุณเป็นเจ้าของสกุลเงิน
  • การทำความเข้าใจตลาดและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างดี จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

ภาพรวมตลาดคริปโตเป็นอย่างไร?

อ้างอิงข้อมูลจาก CoinMarketCap.com ณ วันที่ 21/9/2021 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคริปโต เช่น การจัดอันดับตามมูลค่าตลาด ลิสต์รายการคริปโตสกุลใหม่ มูลค่ารวมตามราคาตลาด ปริมาณการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และสัดส่วนการถือครองมูลค่าตามตลาด เป็นต้น ในขณะนี้มีคริปโตที่ถูกลิสต์ไว้บนเว็บไซต์แล้วกว่า 12,012 สกุล, มีจำนวน Exchange กว่า 411 แพลตฟอร์ม, มูลค่ารวมตามราคาตลาดอยู่ที่ 63 ล้านล้านบาท, ปริมาณการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท และเว็บไซต์ยังระบุว่าจากมูลค่ารวมตามราคาตลาดนั้น Bitcoin ถือครองในสัดส่วน 42.4% และเป็นของ ETH อีกกว่า 18.7% ด้วยกัน

10 อันดับคริปโตที่มีมูลค่าสูงสุดตามตลาด

จัดเรียงตามมูลค่าตามตลาดของแต่ละสกุล ซึ่งจะอ้างอิงข้อมูลจาก CoinMarketCap.com ณ วันที่ 21/9/2021 ดังนี้

คริปโต

มูลค่าตามตลาด

Bitcoin (BTC) ฿27 ล้านล้าน
Ethereum (ETH) ฿11.8 ล้านล้าน
Tether (USDT) ฿2.3 ล้านล้าน
Cardano (ADA) ฿2.3 ล้านล้าน
Binance Coin (BNB) ฿2 ล้านล้าน
XRP (XRP) ฿1.47 ล้านล้าน
Solana (SOL) ฿1.37 ล้านล้าน
USD Coin (USD) ฿9.8 แสนล้าน
Polkadot (DOT) ฿9.6 แสนล้าน
Dogecoin (DOGE) ฿9.2 แสนล้าน

 

“เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนคริปโตคือ Blockchain และสิ่งที่ขับเคลื่อน Blockchain คือผู้ใช้ทุกคน”

เพราะเหตุใดจึงทำให้คริปโตเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง?

มีหลายเหตุปัจจัยด้วยกันที่ทำให้คริปโตได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดตัวคริปโตสกุลแรกอย่าง Bitcoin ในปี 2009 ก็ผ่านมาเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีการถือกำเนิดขึ้นของคริปโตสกุลใหม่ ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางเทคโนโลยี ที่อาจเข้ามาปฏิวัติโลกทั้งใบก็เป็นได้ โดยเหตุผลหลักที่ทำให้คริปโตเป็นสิ่งที่น่าจับตามองนั้น มีดังต่อไปนี้

  • มีความเชื่อว่าสิ่งนี้คือระบบการเงินแห่งโลกอนาคต และเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการธุรกรรมอย่างสิ้นเชิง ที่จะไม่มีการพึ่งพาหน่วยงานกลางอย่างธนาคารอีกต่อไป แต่จะเป็นการดำเนินการทุกอย่างผ่านชุมชนด้วยกันเอง
  • คริปโตส่วนใหญ่มีการกำหนดอุปทานที่จำกัด หมายความว่าสิ่งนี้จะช่วยป้องกันภาวะเงินเฟ้อในอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพานโยบายทางการเงินจากรัฐบาลกลางอย่างที่ควบคุมสกุลเงินดั้งเดิมอยู่ในขณะนี้
  • เป็นสถานที่เก็งกำไรแห่งใหม่ ซึ่งถือว่าตลาดคริปโตนั้นเป็นตลาดการเงินคลาสใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่ก็เป็นเหตุผลให้สภาพคล่องของตลาดคริปโตยังมีไม่มากพอ จึงทำให้เกิดความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีนักลงทุนบางส่วนที่ได้ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมดังกล่าวของตลาดให้เป็นช่องทางในการเก็งกำไรได้อีกด้วย
  • เทคโนโลยีที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคริปโตอย่าง Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีหลายคนเชื่อว่าด้วยศักยภาพของมัน อาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของหลาย ๆ อุตสาหกรรมได้อีกด้วย เพราะเป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลที่โปร่งใส ปลอดภัย และกระจายอำนาจ จึงทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน

1 Exchange = 1 ตลาด สมาชิกของแต่ละ Exchange จะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง

ลงทุนในคริปโตเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่?

คริปโตแต่ละสกุลอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หรือเรียกว่าอยู่ในช่วงของตลาดกระทิง แต่สำหรับนักลงทุนจำนวนมากนั้นกลับมองว่า สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงช่องทางการเก็งกำไรไม่ใช่การลงทุนจริง ซึ่งอ้างเหตุผลเดียวกับสกุลเงินดั้งเดิมว่า คริปโตนั้นไม่มีกระแสเงินสด ดังนั้นสำหรับการทำกำไรได้จากตลาดนี้ จึงหมายถึงว่า “มีใครบางคนต้องจ่ายมากกว่าที่คุณจ่าย”

พฤติกรรมดังกล่าวเป็นทฤษฎีการลงทุนที่เรียกว่า “The Greater Fool” หรือ “ทฤษฎีคนที่โง่กว่า” ซึ่งจะมีพฤติกรรมตรงข้ามกับธุรกิจที่มีการจัดการที่ดี ที่หมายถึงการเพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไปได้โดยการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และกระแสเงินสดของการดำเนินงาน

“สำหรับผู้ที่มองเห็นคริปโต เช่น Bitcoin ว่าเป็นสกุลเงินแห่งอนาคตนั้น ควรพิจารณาว่าสกุลเงินที่ดีต้องมีเสถียรภาพทางราคา” คำพูดดังกล่าวนี้มาจากชุมชนการลงทุนที่ได้แนะนำบรรดานักลงทุนให้หลีกเลี่ยงตลาดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในตำนาน “Warren Buffet” ที่ได้เคยเปรียบเทียบ Bitcoin กับเช็คกระดาษว่า “มันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการส่งเงิน และคุณสามารถทำมันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน แต่ดังที่กล่าวมานั้น เช็คก็เป็นช่องทางในการโอนเงินเช่นเดียวกัน เช็คมีมูลค่าเงินเป็นจำนวนมากหรือไม่? หรือมันมีค่าแค่เพราะมันสามารถส่งเงินได้?”

ย้อนกลับไปที่ข้อความ สำหรับผู้ที่มองเห็นคริปโต เช่น Bitcoin ว่าเป็นสกุลเงินแห่งอนาคตนั้น ควรพิจารณาว่าสกุลเงินที่ดีต้องมีเสถียรภาพทางราคา ก็เพื่อให้ผู้ค้าและผู้บริโภคสามารถกำหนดราคาที่ยุติธรรมสำหรับสินค้าได้ ซึ่งสำหรับ Bitcoin และคริปโตทุกสกุลนั้นยังมีปัญหาในกรณีดังกล่าวอยู่ ตัวอย่างเช่น ในเดือนธันวาคม 2017 มีการซื้อขาย Bitcoin ที่ราคา $20,000 แต่มูลค่าของมันในปีต่อมากลับลดเหลือแค่ $3,200 เท่านั้น แต่เมื่อกลางปี 2021 ที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin ก็ได้ทำ All Time High ที่ $64,000 ด้วยกัน หมายความว่าความผันผวนของราคาในลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหา หากในอนาคต Bitcoin มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะนำมันมาใช้จ่ายและหมุนเวียนน้อยลง เนื่องจากทุกคนมีความคิดเดียวกันว่า ทำไมต้องใช้ Bitcoin ในเมื่อมูลค่าของปีหน้าอาจสูงกว่าถึง 3 เท่า? ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้โอกาสที่ Bitcoin จะเป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการนั้นยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

คริปโตถูกกฎหมายในไทยหรือไม่?

สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการอนุญาตให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการกำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 15% สำหรับนักลงทุนในไทยที่ใช้แพลตฟอร์มที่ทาง ก.ล.ต. ออกใบอนุญาตให้ เช่น Bitkub หรือ Zipmex เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าด้วย “พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” หรือ “พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยมีจุดมุ่งหมายในการกำกับดูแลการระดมทุนผ่านการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในวงกว้าง

จะซื้อคริปโตได้อย่างไร?

การซื้อคริปโตนั้นไม่เหมือนการซื้อหุ้น โดยการซื้อหุ้นจะทำให้คุณเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของเจ้าของบริษัท แต่การซื้อคริปโตจะทำให้คุณเป็นเจ้าของสกุลเงินในมูลค่าที่คุณซื้อ โดยในการซื้อคริปโตนั้นคุณจะต้องมี “Wallet” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันออนไลน์ที่สามารถจัดเก็บสินทรัพย์ของคุณได้ โดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องสร้างบัญชีใน Exchange ก่อน จากนั้นคุณจะสามารถโอนเงินจริงเพื่อทำการซื้อคริปโต เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ได้

Bitkub เป็นแพลตฟอร์ม Exchange ที่ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตยอดนิยมในประเทศไทย และซื้อขายได้ด้วยสกุลเงินบาท อีกทั้งคุณสามารถสร้าง Wallet และซื้อหรือขาย Bitcoin รวมไปถึงคริปโตสกุลอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมี Exchange ออนไลน์อีกจำนวนมากที่นำเสนอการให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโต เช่น Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น

เมื่อคุณสามารถเลือกแพลตฟอร์มที่คุณต้องการซื้อคริปโตแล้วนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ การสมัครสมาชิกและเข้าขั้นตอน KYC เพื่อทำการยืนยันตัวตนกับทางแพลตฟอร์มก่อนจะได้รับอนุมัติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้ระยะเวลารอคอยประมาณ 1 วันทำการเท่านั้น จากนั้นเมื่อคุณทำการยืนยันตัวตนเสร็จสิ้นแล้วคุณจะสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารของคุณ เข้าสู่แพลตฟอร์มได้ทันที เพื่อทำการสร้างคำสั่งซื้อคริปโตในสกุลที่คุณต้องการต่อไป

ข้อควรพิจารณาก่อนซื้อคริปโต

หากคุณต้องการซื้อคริปโตในโครงการระดมทุนเสนอขายเหรียญเริ่มต้น ICO โปรดพิจารณาจากรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนที่เจ้าของโครงการยื่นต่อ ก.ล.ต. สำหรับข้อมูลต่อไปนี้

  • ใครเป็นเจ้าของโครงการ/บริษัท? เจ้าของต้องเป็นบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้และเป็นที่รู้จักในสัญญาณเชิงบวก
  • มีนักลงทุนรายใหญ่รายอื่นที่ร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวหรือไม่? เป็นสัญญาณที่ดีหากนักลงทุนที่มีชื่อเสียงรายอื่นต้องการร่วมเป็นเจ้าของสกุลเงินของโครงการ ICO ดังกล่าว
  • คุณต้องการเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท หรือต้องการเพียงแค่สกุลเงิน/โทเคน? ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งการเป็นเจ้าของนั้นหมายถึงว่าคุณจะมีส่วนร่วมในรายได้ (หรือหมายถึงคุณร่วมเป็นเจ้าของ) แต่ในขณะที่การซื้อโทเคนนั้นก็หมายความว่า คุณมีสิทธิ์ที่จะใช้มันที่เปรียบเสมือนชิปในคาสิโน
  • สกุลเงินนั้นพัฒนาแล้ว หรือบริษัทต้องการหาเงินทุนเพื่อพัฒนา? ยิ่งผลิตภัณฑ์มีแผนยาวไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเสี่ยงน้อยลงเท่านั้น

อาจต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ซึ่งมันยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ โอกาสของคุณก็จะยิ่งเป็นไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายมากเท่านั้น แต่ความชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินนั้นจะประสบความสำเร็จ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในตลาดเป็นอย่างมาก

นอกเหนือจากข้อกังวลดังที่กล่าวมานั้น การมีคริปโตในครอบครองอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม เนื่องจากแฮกเกอร์อาจพยายามเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กำลังดูแลสินทรัพย์ของคุณได้ ตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในปี 2014 หลังจากที่แฮกเกอร์ได้โจรกรรม Bitcoin ไปหลายร้อยล้านดอลลาร์ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ไม่ใช่ความเสี่ยงโดยทั่วไปสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น และกองทุนในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ ดังนั้นการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนที่มีคริปโตในครอบครอง

ตัวเลือกการจัดเก็บคริปโต

หากคุณเลือกใช้ Exchange ในการซื้อคริปโต ทาง Exchange จะทำการจัดเก็บคริปโตของคุณไว้ให้ โดยส่วนมากจะใช้การจัดเก็บประเภท Cold Wallet และ Hot Wallet แต่หากคุณซื้อคริปโตด้วยแพลตฟอร์มอื่นก็ยังมีอีกหลายทางเลือกในการจัดเก็บสินทรัพย์ของคุณ ยกตัวอย่างดังนี้

  • Cold Wallet คือกระเป๋าเงินที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้งานจะต้องจดจำรหัสกุญแจส่วนตัวด้วยตนเอง
  • Hot Wallet คือกระเป๋าเงินที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต หรือเรียกอีกอย่างว่า Online Wallet โดยกระเป๋าเงินรูปแบบนี้ผู้ให้บริการจะทำการเก็บรหัสกุญแจส่วนตัวไว้ให้
  • Desktop Wallet คือกระเป๋าเงินที่มาในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คุณสามารถดาวน์โหลดลงบนคอมพิวเตอร์ของคุณเอง โดยโปรแกรมที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ Bitcoin Core ซึ่งหลักการทำงานจะเป็นการดาวน์โหลด Blockchain เข้ามาไว้บนโปรแกรมโดยตรง และ Blockchain เหล่านั้นจะแสดงรายการธุรกรรมต่าง ๆ ในบัญชีของคุณอยู่ตลอดเวลาการใช้งาน
  • Hardware Wallet คือกระเป๋าเงินที่มาในรูปแบบของอุปกรณ์ภายนอกที่มีการติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับการจัดเก็บสินทรัพย์และตัวช่วยการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่มีความปลอดภัยสูง โดยมีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับธัมป์ไดรฟ์ที่เราใช้กันทั่วไป ซึ่ง Hardware Wallet ที่เป็นที่รู้จักได้แก่ Trezor และ Ledger Nano ซึ่งทั้งสองตัวนี้ก็มีราคาสูงพอสมควร

ควรซื้อคริปโตหรือไม่?

คริปโตถือเป็นตลาดที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร และมีความผันผวนที่คาดไม่ถึง ซึ่งการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดดยทั่วไปนั้นมักมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในคริปโต แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะเป็นเจ้าของสกุลเงินทางดิจิทัลจริง ๆ โดยจะยกตัวอย่างคริปโตที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ได้แก่ Bitcoin และ Ethereum มีข้อมูลเบื้องต้นดังนี้

อยากได้ Bitcoin (BTC) ทำอย่างไร?
Bitcoin ถือเป็นพี่ใหญ่ในวงการคริปโตที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เนื่องจากเป็นคริปโตสกุลแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto เมื่อปี 2009 ที่เขาได้อธิบายแนวคิดและเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของ White Paper ที่ได้อธิบายการกำเนิดบิทคอยน์เอาไว้ว่า “จะปล่อย Bitcoin ออกมาหมุนเวียนในระบบเพิ่มทุก ๆ 1 บล็อกของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ (หรือทุก ๆ 10 นาที) และทุก ๆ 4 ปี จำนวน Bitcoin ที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งหรือเรียกว่า Halving (จาก 50 Bitcoin ต่อ 1 บล็อก เป็น 25,12.5,6.25,…ในทุก ๆ 4ปี) และ Bitcoin มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 21 ล้านบิทคอยน์”

หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน วิธีการจะได้ Bitcoin มาครอบครองคงจะต้องบอกว่า “อยากได้ก็ต้องขุด” อธิบายง่าย ๆ คือการขุด Bitcoin จะทำต้องผ่านกระบวนการทางเทคนิคบนเทคโนโลยี Blockchain นั่นก็คือการแก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อรับรางวัลเป็น Bitcoin ที่เกิดขึ้นบน Blockchain แต่ละบล็อก ซึ่งจะเรียกหลักการทำงานของ Bitcoin ว่าเป็นอัลกอริธึม Proof of Work (PoW) หรือก็คือผลตอบแทนของการทำงานที่จะได้รับรางวัลจากการแก้สมการ โดยการขุดมีต้นทุนในการขุดค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟที่ใช้ในการขุด หรือชุดคอมพิวเตอร์ของนักขุด แต่ในปัจจุบันมีวิธีที่ง่ายกว่าการขุด ซึ่งก็คือการซื้อ Bitcoin นั้นง่ายมาก ๆ เพียงแค่คุณซื้อผ่านแพลตฟอร์ม Exchange ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการซึ่งคุณสามารถเลือกตามความเหมาะสมได้ เช่น Bitkub, Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น

อยากได้ Ethereum (ETH) ทำอย่างไร?
Ethereum เป็นคริปโตที่มีมูลค่าทางตลาดเป็นอันดับสองรองจาก Bitcoin ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Vitalik Buterin ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Bitcoin มาก่อน โดยการที่เขาแยกตัวออกมานั้นเป็นเพราะเขามองเห็นจุดบกพร่องบน Bitcoin และต้องการสร้างคริปโตสกุลใหม่ที่มาแก้ทางจุดบกพร่องเหล่านั้น โดยหลักการที่เป็นจุดเด่นของ Ethereum ที่ไม่เหมือนกับ Bitcoin คือเป็นการสร้างขึ้นในรูปแบบที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์บนโลกดิจิทัล หรือเรียกว่าระบบ Open Source ที่สามารถให้ใครก็ได้เข้ามาพัฒนาหรือสร้างคริปโตเป็นของตนเอง รวมไปถึงการสร้าง Daaps และ Smart Contract ได้อีกด้วย โดยการเขียนโปรแกรมลงไปบนเครือข่าย Ethereum

การจะได้ Ethereum ไว้ในครอบครองก็มีวิธีการไม่ต่างจาก Bitcoin ก็คือการขุดบนเทคโนโลยี Blockchain โดยการขุดก็จะใช้วิธีการแก้สมการเพื่อรับรางวัลเป็น Ethereum เช่นเดียวกัน และอีกวิธีก็คือการซื้อหรือการเทรดผ่าน Exchange ต่าง ๆ ที่คุณสามารถซื้อมาเก็บไว้และทำกำไรกับมันได้ตามกลไกตลาดเมื่อราคามีการปรับสูงขึ้น เช่น Bitkub, Binance, eToro, Kraken, Bitfinex และ Zipmex เป็นต้น

ซื้อคริปโตมาแล้ว สามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง?

หากคุณมีคริปโตสกุลใดก็ตามในครอบครอง การซื้อมาและขายไปก็ยังไม่ใช่วิธีการเดียวที่สามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งในวงการคริปโตนั้นยังมีผู้ให้บริการที่คิดค้นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ให้คุณได้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น การ Saving และการ Staking เป็นต้น

การ Saving นั้นเรียกอีกอย่างว่า “บัญชีออมทรัพย์” ซึ่งเป็นรูปแบบของการสร้างรายได้ที่คล้ายคลึงกับการฝากเงินกับธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน โดยในวงการคริปโตจะมีความแตกต่างตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำธุรกรรมการฝากเหรียญหรือคริปโตนี้ผ่านตัวกลางใด ๆ แค่เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตภัณฑ์นี้คุณก็สามารถเปิดบัญชีออมทรัพย์คริปโตได้ทันที เช่น CoinLoan, Binance และ Celsius เป็นต้น

การ Staking หรือบัญชีค้ำประกัน โดยหลักการสร้างกำไรจากวิธีนี้คือการล็อคเหรียญหรือคริปโตของคุณไว้กับแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการผลิตภัณฑ์นี้ไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยระหว่างการล็อคเหรียญคุณจะไม่สามารถทำการซื้อขายหรือกระทำการใด ๆ กับมันได้เลย จากนั้นระบบจะทำการประมวลผลสุ่ม Node ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรม ซึ่ง Node ของผู้ใดก็ตามที่ถูกสุ่มขึ้นมาก็จะได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในสกุลเดียวกับเหรียญหรือคริปโตที่ได้ทำการ Staking ไว้ และในวิธีการนี้โอกาสที่โดนสุ่มจะมีน้อยหรือมากนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคริปโตที่ทำการล็อคไว้ ยิ่งทำการล็อคคริปโตเอาไว้เป็นจำนวนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น และผลตอบแทนที่ได้ก็จะยิ่งมากขึ้นไปด้วย ซึ่งแพลตฟอร์มที่เปิดให้ Staking เช่น CoinLoan, Binance และ Celsius เป็นต้น

สรุปปิดท้าย

การซื้อคริปโตถือเป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตลาดการเงินประเภทอื่นคือ ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงและรุนแรงบ่อยครั้ง แน่นอนว่าความผันผวนรูปแบบดังกล่าวนั้นคือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้ที่สนใจจะซื้อคริปโตควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานของคริปโต, หลักการทำงานของคริปโต และจุดประสงค์ในการลงทุนของตัวคุณเอง เป็นต้น ซึ่งการทำความเข้าใจก่อนที่คุณจะลงเงินไปกับมัน ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ดังนั้นโปรดระลึกเสมอว่า “อย่าลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ”

ประเภทของประกันรถยนต์

ประกันชั้น 1

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 2+

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 3+

เพิ่มเติม

พ.ร.บ.รถยนต์

เพื่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

วิธีคำนวนเบี้ยประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

ทำอย่างไรให้ได้เบี้ยประกันลดลง

เพิ่มเติม

ประกันที่เหมาะกับมือใหม่

เพิ่มเติม

หลังเกิดอุบัติเหตุรถชน ควรทำอย่างไร

เพิ่มเติม

เมาแล้วขับ

เพิ่มเติม

ไม่เคลม รับส่วนลดเบี้ยประกัน

เพิ่มเติม

รถมีประกันหรือเปล่า

เพิ่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

รถยนต์สำหรับคนขับอายุน้อย

เพิ่มเติม

ต่อประกันรถยนต์อัตโนมัติ

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์สำหรับคนขับอายุน้อย

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์สำหรับผู้ขับขี่มือใหม่

เพิ่มเติม

การแจ้งเคลมประกันรถยนต์หลังเกิดอุบัติเหตุ

เพิ่มเติม