Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
นิยามใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล
นิยามใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล
Blockchain ที่ดูเหมือนจะซับซ้อนในความคิดของใครหลาย ๆ คน แต่ในความเป็นจริงแล้วแนวคิดหลักของมันค่อนข้างง่ายมากโดยมาจากความรู้พื้นฐานในเรื่อง “ฐานข้อมูล” หรือ Database โดย Blockchain ถือเป็นฐานข้อมูลประเภทหนึ่ง ซึ่งอันดับแรกเราควรทำความเข้าใจเรื่องฐานข้อมูลก่อน
โดยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จะทำได้โดยอาศัยเซิฟเวอร์ที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งในบางครั้งการสร้างเซิฟเวอร์เหล่านี้จำเป็นจะต้องใช้คอมพิวเตอร์หลายร้อยหรือหลายพันเครื่องด้วยกัน เพื่อให้มีกำลังในการประมวลผลและความจุในการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานจำนวนมากในการเข้าถึงฐานข้อมูลพร้อมกัน และถึงแม้จะบอกว่าสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนเท่าใดก็ได้ ที่ต้องการเข้าถึงฐานข้อมูลเดียวกัน แต่ในเชิงธุรกิจก็มักจะมีข้อจำกัดที่ต้องผ่านการควบคุมของเจ้าของเซิฟเวอร์หรือเจ้าของธุรกิจ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าจะมีศูนย์กลางอำนาจเข้ามาควบคุมวิธีการทำงานและข้อมูลภายในอย่างสมบูรณ์
โครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล
ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่างฐานข้อมูลทั่วไปและ Blockchain คือวิธีจัดการโครงสร้างข้อมูล โดย Blockchain จะทำการรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มหรือที่เรียกกันว่า บล็อก ที่ซึ่งจะมีชุดข้อมูลอยู่ภายใน และมีความจุในการจัดเก็บที่แน่นอน ซึ่งเมื่อบรรจุข้อมูลเต็มแล้วก็จะถูกโยงเข้ากับบล็อกเดิมก่อนหน้า ก่อตัวกันเป็นสายโซ่ของข้อมูล จึงเป็นที่มาของคำว่า “Blockchain” โดยข้อมูลใหม่ที่ตามหลังมาจะถูกเพิ่มไปยังบล็อกใหม่จนเต็มจากนั้นจะถูกเพิ่มไปยัง Chain หรือสายโซ่
ฐานข้อมูลทั่วไปจะจัดโครงสร้างของข้อมูลเป็นรูปแบบของตารางหรือสเปรดชีต ในขณะที่ Blockchain จะจัดโครงสร้างของข้อมูลตามชื่อของมันที่แปลตรงตัวว่า “กล่องสายโซ่” สิ่งนี้จึงทำให้ Blockchain ทั้งหมดเป็นฐานข้อมูล แต่ไม่ใช่ทุกฐานข้อมูลที่เป็น Blockchain โดยระบบนี้ยังสร้างไทม์ไลน์ของข้อมูลที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้เมื่อนำมาใช้งานในลักษณะการกระจายศูนย์อำนาจ (Decentralization) และเมื่อบล็อกใดเติมเต็มแล้วก็จะถูกตั้งค่าเป็นหินทันทีและจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไทม์ไลน์ เมื่อบล็อกถูกเพิ่มเข้าไปในสายโซ่แต่ละบล็อกก็จะได้รับการประทับเวลาที่แน่นอน
ขั้นตอนการทำธุรกรรม
คุณสมบติของคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)
“คุณสมบัติของ Blockchain จะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลของคุณมีความโปร่งใสและปลอดภัย”
เพื่อจุดประสงค์ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Blockchain แนะนำให้ดูในบริบทของ Bitcoin ว่าถูกนำไปใช้อย่างไร ซึ่งสำหรับ Bitcoin แล้วนั้น Blockchain เป็นเพียงฐานข้อมูลประเภทหนึ่งที่ใช้จัดเก็บรายการธุรกรรมทั้งหมด และในกรณีของ Bitcoin จะแตกต่างกับฐานข้อมูลทั่วไปตรงที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นจะไม่ได้อยู่ภายในสถานที่เดียวกัน ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องหรือกลุ่มคอมพิวเตอร์นั้นจะดำเนินการโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ซ้ำกันและกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก
โดยคุณลองนึกภาพว่ามีบริษัทเป็นเจ้าของเซิฟเวอร์ที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ 10,000 เครื่อง ซึ่งมีฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลบัญชีของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าบริษัทนี้มีคลังที่สามารถบรรจุเหล่าคอมพิวเตอร์ทั้ง 10,000 เครื่องไว้ภายใต้สถานที่เดียวกัน และสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องรวมไปถึงข้อมูลทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในทำนองเดียวกัน Bitcoin ก็ประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่อง เพียงแต่คอมพิวเตอร์เหล่านี้ที่มีเครือข่าย Blockchain จะอยู่ในที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอยู่กันคนละภูมิภาค และคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนี้จะดำเนินการโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แยกจากกัน ซึ่งเหล่าคอมพิวเตอร์ที่ประกอบกันเป็นเครือข่ายของ Bitcoin จะถูกเรียกว่า “โหนด (Node)”
ซึ่งในกรณีนี้ Blockchain ของ Bitcoin ถูกใช้ในรูปแบบของการกระจายศูนย์อำนาจ อย่างไรก็ตามก็ยังมี Blockchain แบบส่วนตัวหรือที่เรียกว่า Centralized/Private Blockchain ที่จะมีคอมพิวเตอร์เพียงโหนดเดียว หรือหลายโหนดแต่ใช้ซอฟต์แวร์เดียวกันที่เป็นเจ้าของและดำเนินการแบบนิติบุคคล บริษัท หรือองค์กร
ในเครือข่าย Blockchain แต่ละโหนดจะมีบันทึกของข้อมูลที่จัดเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยสำหรับข้อมูลของ Bitcoin ก็จะเป็นประวัติรายการธุรกรรมทั้งหมด ซึ่งหากโหนดใดโหนดหนึ่งมีข้อมูลผิดพลาด ก็สามารถใช้โหนดอื่นอีกนับหมื่นนับพันโหนดเป็นจุดอ้างอิงเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดได้ โดยวิธีดังกล่าวนี้จึงทำให้ไม่มีโหนดใดในเครือข่ายทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่อยู่ภายในได้ และด้วยเหตุนี้ไม่ว่าประวัติการทำธุรกรรมใด ๆ ของ Bitcoin ที่บันทึกลงบน Blockchain แล้วก็จะไม่สามารถทำการย้อนกลับไปแก้ไข หรือคืนค่าใด ๆ ได้อีกด้วย
หากมีผู้ใช้รายใดยุ่งเกี่ยวกับบันทึกการทำธุรกรรมของ Bitcoin นั้นโหนดอื่น ๆ ทั้งหมดจะอ้างอิงถึงกันและกัน และสามารถระบุโหนดที่ข้อมูลไม่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยในการสร้างลำดับเวลาและเหตุการณ์ที่ชัดเจนโปร่งใส โดยในความจริงแล้วสำหรับการใช้งาน Blockchain ไม่เพียงแต่จัดเก็บแค่ข้อมูลการทำธุรกรรมได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถเก็บข้อมูลอื่น ๆ ได้อีกหลากหลาย เช่น สัญญาทางกฎหมาย ข้อมูลบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐ หรือข้อมูลสินค้าคงคลังในบริษัท เป็นต้น
หากมีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานหรือการจัดเก็บข้อมูลใน Blockchain นั้น โหนดต่าง ๆ บนเครือข่ายกระจายศูนย์อำนาจส่วนใหญ่ของจำนวนโหนดทั้งหมดจะต้องเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งสิ่งนี้จึงทำให้มั่นใจได้ว่าทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มาก หรือที่เรียกว่า “กลไกฉันทามติ”
การจัดเก็บบัญชีแยกประเภทสาธารณะ เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของเทคโนโลยี Blockchain
เนื่องจากลักษณะการทำงานแบบการกระจายศูนย์อำนาจ Blockchain ของการทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin ทั้งหมดจะสามารถดูได้อย่างโปร่งใส โดยมีโหนดส่วนบุคคลหรือการใช้นักสำรวจ Blockchain ที่จะอนุญาตให้ทุกคนเห็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งแต่ละโหนดจะมีสำเนาของตนเองที่ได้รับการอัปเดตเมื่อบล็อกใหม่ได้รับการยืนยันหรือมีการเพิ่มบล็อก หมายความว่าคุณสามารถติดตามธุรกรรม Bitcoin ได้ทุกที่
ตัวอย่างเช่น การแลกเปลี่ยน Bitcoin ที่เคยถูกแฮ็กในอดีตนั้น ถึงแม้จะไม่สามารถระบุชื่อของแฮ็กเกอร์ได้แต่ Bitcoin ที่ถูกขโมยไปจะสามารถตรวจสอบได้ว่าถูกย้ายหรือใช้จ่ายไปที่ใดบ้าง
ในเรื่องของความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของ Blockchain ได้ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ประการแรก Blockchain จะถูกจัดเก็บเป็นเส้นตรงตามลำดับเวลา นั่นคือบล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปในทุก ๆ จุดสิ้นสุดของบล็อกก่อนหน้าเสมอ หากคุณพิจารณาจาก Blockchain ของ Bitcoin จะเห็นได้ว่าแต่ละบล็อกมีตำแหน่งที่เรียกว่า “ความสูง (Height)” ซึ่งความสูงของบล็อกปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 มิถุนายน ปี 2021) จะอยู่ที่ 689,183 บล็อก (สามารถตรวจสอบความสูงของบล็อกล่าสุดได้ ที่นี่)
โดยหลังจากเพิ่มบล็อกไปที่ส่วนท้ายของ Blockchain แล้วนั้น เป็นการยากมากที่จะย้อนกลับหรือแก้ไขเนื้อหาของบล็อก เว้นแต่ว่าคนส่วนใหญ่มีมติให้ทำเช่นนั้น เนื่องจากแต่ละบล็อกมีแฮชเป็นของตนเอง รวมไปถึงแฮชก่อนหน้าเช่นเดียวกับการประทับเวลาที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ซึ่งรหัสแฮชถูกสร้างขึ้นโดยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่เปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลเป็นชุดตัวเลขและตัวอักษร หากข้อมูลนั้นได้รับการแก้ไขในทางใดทางหนึ่ง รหัสแฮชก็จะเปลี่ยนไปและมีความผิดพลาดทันที
และสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัย สมมติว่าแฮ็กเกอร์ต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบน Blockchain และขโมย Bitcoin จากคนอื่น ๆ โดยพวกเขาต้องทำการแก้ไขสำเนาของตนเองซึ่งนั่นจะทำให้สำเนานั้นไม่สอดคล้องกับสำเนาของคนอื่นอีกต่อไป และเมื่อคนอื่น ๆ ทำการเชื่อมโยงสำเนาของตนเองเข้ากับสำเนาอื่น พวกเขาจะเห็นว่ามีสำเนาที่แตกต่างออกไป และ Blockchain เวอร์ชันของแฮ็กเกอร์ที่ถูกเปลี่ยนโดยมิชอบจะถูกกำจัดทันที ซึ่งการที่จะประสบความสำเร็จในการแฮ็กได้นั้นจะต้องให้แฮ็กเกอร์ควบคุมและแก้ไขสำเนาจำนวน 51% ของสำเนาทั้งหมดในเวลาเดียวกันเท่านั้น เพื่อให้สำเนาใหม่ของพวกเขากลายเป็นจำนวนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามการโจมตีดังกล่าวอาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่หากในทางปฏิบัติแล้วพวกเขาจะต้องใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมหาศาล เนื่องจากต้องทำซ้ำบล็อกใหม่ทั้งหมด ทั้งเรื่องของการประทับเวลาและรหัสแฮชที่แตกต่างกัน
เนื่องจากขนาดของเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่จะต้องใช้เงินทุนและทรัพยากรมหาศาลเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มว่าการโจมตีจะไร้ผลอีกด้วย เพราะสมาชิกในเครือข่ายจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงใน Blockchain และเหล่าสมาชิกจะทำการแยก Blockchain ออกเป็นเวอร์ชันใหม่ที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ Bitcoin เวอร์ชันที่ถูกโจมตีจะมีมูลค่าลดลง และจะไม่มีความหมายในท้ายที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม Bitcoin ตัวใหม่เคยถูกสร้างขึ้นโดยวิธีนี้มาแล้ว แต่เหตุผลจะเป็นเรื่องของการได้รับแรงจูงใจในทางเศรษฐกิจเสียมากกว่า
เป้าหมายของ Blockchain คือการอนุญาตให้บันทึกและแจกจ่ายข้อมูลดิจิทัลแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยเทคโนโลยี Blockchain ได้ถูกร่างขึ้นครั้งแรกในปี 1991 โดย Stuart Haber และ W. Scott Stornetta นักวิจัยสองคนที่ต้องการใช้ระบบที่ไม่สามารถแก้ไขการประทับเวลาของเอกสารได้ แต่เกือบสองทศวรรษต่อมา ด้วยการเปิดตัว Bitcoin ในเดือนมกราคม ปี 2009 นั้นทำให้ Blockchain มีการใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริงครั้งแรก
โปรโตคอล Bitcoin สร้างขึ้นบน Blockchain ในรายงานการวิจัยเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลหรือที่เรียกกันว่าคริปโตเคอเรนซี ซึ่ง Satoshi Nakamoto นามแฝงของผู้สร้าง Bitcoin เรียกมันว่า “ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ Peer-to-Peer ที่ไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง”
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ Bitcoin ใช้ Blockchain เป็นเครื่องมือในการบันทึกบัญชีแยกประเภทที่เป็นการชำระเงินอย่างโปร่งใส แต่ในทางทฤษฎีแล้ว Blockchain สามารถบันทึกข้อมูลจำนวนเท่าใดก็ได้โดยไม่มีการเปลี่ยนรูป ซึ่งตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าอาจอยู่ในรูปแบบของการทำธุรกรรม การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ข้อมูลสินค้าคงคลังของบริษัท บัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐ โฉนดที่ดิน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ปัจจุบันนี้มีโครงการที่ใช้ Blockchain ในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยเหลือสังคมที่นอกเหนือไปจากการทำธุรกรรม ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งของการใช้ Blockchain คือการนำไปใช้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยธรรมชาติของความไม่เปลี่ยนรูปของข้อมูลใน Blockchain นั้นหมายความว่าการลงคะแนนที่ฉ้อฉลจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น ระบบการลงคะแนนเสียงจะสามารถทำงานได้เมื่อให้พลเมืองในแต่ละประเทศได้รับคริปโตหรือโทเคนเฉพาะการใช้งาน และผู้สมัครแต่ละคนจะทำการบอกแอดเดรสของ Wallet ตนเองให้ผู้ลงคะแนนทราบ จากนั้นผู้ลงคะแนนจะส่งโทเคนหรือคริปโตของตนไปยังแอดเดรสของผู้สมัครที่ตนเองต้องการลงคะแนน ด้วยลักษณะที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ของ Blockchain จะขจัดความจำเป็นในการนับคะแนนเสียงด้วยมนุษย์ รวมทั้งเรื่องการแก้ไขบัตรลงคะแนนทางกายภาพของผู้ไม่หวังดีอีกด้วย
คุณสมบัติ | ธนาคาร | Bitcoin |
เวลาเปิดทำการ | ธนาคารทั่วไปจะเปิดให้บริการในวันธรรมดา ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 17.00 น. แต่อาจมีธนาคารบางแห่งที่เปิดทำการในวันหยุดสุดสัปดาห์แต่มีเวลาจำกัด และธนาคารทั้งหมดจะปิดทำการในทุก ๆ วันหยุดธนาคารประจำปี | ไม่มีการกำหนดเวลา; เปิด 24/7 ตลอดปี |
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม | ชำระด้วยบัตร: ค่าธรรมเนียมส่วนนี้จะแตกต่างกันไปตามประเภทของบัตร และผู้ใช้งานจะไม่ได้จ่ายให้กับทางธนาคารโดยตรง แต่จะจ่ายให้กับผู้ประกอบการหรือร้านค้าที่ไปใช้บริการและเรียกเก็บหนึ่งครั้งต่อหนึ่งบริการ จึงอาจทำให้ต้นทุนสินค้าและบริการสูงขึ้น เช็ค: อาจมีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง $1 ถึง $30 โดยขึ้นอยู่กับธนาคารของคุณ การหักบัญชีอัตโนมัติ: อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $30 เมื่อต้องส่งไปยังบัญชีภายนอก การโอนเงินผ่านธนาคาร: การโอนระหว่างประเทศอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $45 และการโอนภายในประเทศอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ $25 | Bitcoin มีค่าธรรมเนียมแปรผันไปตามข้อกำหนดของผู้ขุดและผู้ใช้ ซึ่งค่าใช้จ่ายสามารถอยู่ในช่วงระหว่าง $0 ถึง $50 แต่ในกรณีนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าธรรมเนียมได้เอง แต่หากกำหนดต่ำเกินไปอาจทำให้ธุรกรรมไม่ได้รับการประมวลผล |
ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม | ชำระด้วยบัตร: 24 – 48 ชั่วโมง เช็ค: 24 – 72 ชั่วโมง การหักบัญชีอัตโนมัติ: ภายใน 24 ชั่วโมงยกเว้นโอนเงินระหว่างประเทศ *โดยทั่วไปการโอนเงินผ่านธนาคารจะไม่ดำเนินการในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดธนาคารประจำปี | อาจใช้เวลาเพียง 15 นาที และมากสุด 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความแออัดบนเครือข่าย |
KYC | ในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ของธนาคารต้องใช้ขั้นตอน KYC ตามบัญญัติกฎหมายในการบันทึกข้อมูลประจำตัวของลูกค้าก่อนเปิดบัญชี | ทุก ๆ คนหรืออะไรก็ตามที่ต้องการใช้ Bitcoin ในการทำธุรกรรม สามารถเข้าร่วมเครือข่ายได้โดยไม่ต้องระบุตัวตน ซึ่งตามทฤษฎีแล้วแม้แต่ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ |
ความสะดวกในการทำธุรกรรม | ข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการโอนเงินผ่านระบบดิจิทัล จะต้องใช้บัตรประจำตัวที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ บัญชีธนาคาร และโทรศัพท์มือถือ | ข้อกำหนดขั้นต่ำมีเพียงแค่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือเท่านั้น |
ความเป็นส่วนตัว | ข้อมูลบัญชีธนาคารจะถูกเก็บไว้ในเซิฟเวอร์ส่วนตัวของธนาคารและในมือลูกค้าเอง โดยความเป็นส่วนตัวจะถูกจำกัดโดยความปลอดภัยของเซิฟเวอร์ของธนาคารและผู้ใช้แต่ละรายว่าสามารถรักษาข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ดีเพียงใด หากเซิฟเวอร์ของธนาคารถูกบุกรุก บัญชีของลูกค้าก็จะถูกโจมตีเช่นกัน | Bitcoin มีความเป็นส่วนตัวได้มากเท่าที่ผู้ใช้ต้องการ ธุรกรรมทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นเจ้าของธุรกรรมหากถูกซื้อโดยไม่ระบุชื่อ แต่ในขณะเดียวกันหากซื้อ Bitcoin จาก Exchange ที่มีการ KYC ธุรกรรมนั้นจะถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับเจ้าของบัญชีใน Exchange ที่ทำการ KYC แล้ว |
ระบบความปลอดภัย | สมมติว่าลูกค้าใช้มาตรการความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่ง เช่น การใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัยและการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองระดับ (Two-Factor Authentication) ข้อมูลบัญชีธนาคารก็จะมีความปลอดภัยเทียบเท่ากับเซิฟเวอร์ของธนาคารที่จัดเก็บข้อมูลของลูกค้า | ยิ่งเครือข่าย Bitcoin ใหญ่ขึ้นเท่าใด ความปลอดภัยก็จะมากขึ้นเท่านั้น และระดับความปลอดภัยก็จะขึ้นอยู่กับผู้ที่ถือ Bitcoin ด้วย เหตุนี้จึงขอแนะนำให้ใช้ Cold Wallet สำหรับการเก็บ Bitcoin ในปริมาณมาก หรือปริมาณเท่าใดก็ตามที่ต้องการเก็บไว้เป็นช่วงเวลานาน |
การอนุมัติธุรกรรม | โดยทั่วไปทางธนาคารจะขอสงวนสิทธ์ในการปฏิเสธการทำธุรกรรมด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ขอสงวนสิทธิ์ในการระงับบัญชีหากใบแจ้งหนี้มีรายการที่ผิดปกติ หรือได้รับมาอย่างไม่ถูกต้อง | เครือข่าย Bitcoin ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใด ๆ ขึ้นมา ดังนั้นผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin ได้ตามสมควร แต่ก็ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของประเทศหรือภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย |
การอายัดบัญชี | เนื่องด้วยกฎหมาย KYC ทำให้รัฐบาลสามารถติดตามความเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารของลูกค้า และยังสามารถยึดสินทรัพย์ภายในบัญชีได้อย่างง่ายดายด้วยเหตุผลหลายประการ | หากใช้ Bitcoin โดยไม่เปิดเผยตัวตน รัฐบาลก็จะไม่สามารถติดตามบัญชีหรือทำการยึดทรัพย์ได้ |
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าในแต่ละบล็อกบน Blockchain ของ Bitcoin จะจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Blockchain นั้นสามารถใช้จัดเก็บข้อมูลธุรกรรมประเภทอื่น ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน
โดยมีบริษัทที่ร่วมเข้าใช้งาน Blockchain ได้แก่ Walmart, Pfizer, AIG, Siemens, Unilever และบริษัทอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น IBM ที่ได้สร้างความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมอาหารผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Food Trust Blockchain” เพื่อใช้ในการติดตามเส้นทางการขนส่งอาหารไปยังสถานที่ต่าง ๆ
เหตุผลว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ เป็นเพราะอุตสาหกรรมอาหารเคยประสบกับวิกฤตที่มีการระบาดของเชื้อโรค เช่น e Coli, salmonella, listeria และรวมไปถึงสารอันตรายหรือวัสดุอันตรายอีกนับไม่ถ้วนที่นำเข้าสู่อาหารโดยไม่ได้ตั้งใจ และในอดีตต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์กว่าจะหาสาเหตุของการแพร่ระบาดหรือสาเหตุของการเจ็บป่วยจากสิ่งที่ผู้คนรับประทานเข้าไปได้
ซึ่งการใช้ Blockchain นั้นจะช่วยให้แบรนด์สามารถติดตามเส้นทางของผลิตภัณฑ์อาหารไม่ว่าจะเป็นจากแหล่งผลิต ผ่านจุดแวะแต่ละจุด และสุดท้ายคือการส่งมอบผลิตภัณฑ์ หากพบว่ามีการปนเปื้อนก็สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังจุดแวะแต่ละจุด หรือย้อนกลับไปยังแหล่งผลิตได้ ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทเหล่านี้ยังสามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่อาจไปสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ ทำให้สามารถระบุปัญหาได้เร็วกว่ามาก และอาจช่วยชีวิตผู้คนได้ ซึ่งนี่ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ Blockchain ในทางปฏิบัติ แต่ก็ยังมีรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถนำ Blockchain ไปประยุกต์ใช้ได้ ยกตัวอย่างดังนี้
การธนาคารและการเงิน
อาจพูดได้ว่าคงไม่มีอุตสาหกรรมใดที่จะได้รับประโยชน์จากการบูรณาการ Blockchain เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจไปมากกว่าการธนาคาร เนื่องด้วยสถาบันการเงินนั้นเปิดทำการเฉพาะช่วงเวลาทำการห้าวันต่อสัปดาห์ นั่นหมายความว่าหากคุณต้องการฝากเช็คในเวลา 18.00 น. ของวันศุกร์ คุณอาจต้องรอจนถึงเช้าวันจันทร์จึงจะเห็นเงินเข้ามาในบัญชีของคุณ และแม้ว่าคุณจะทำการฝากเงินในช่วงเวลาทำการ แต่การทำธุรกรรมยังคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสามวันในการตรวจสอบ เนื่องจากปริมาณธุรกรรมที่ธนาคารจำเป็นต้องรับมือในแต่ละวันมีจำนวนมาก และต้องใช้การดำเนินการผ่านบุคคล แต่ในขณะเดียวกันนั้น Blockchain ไม่เคยหยุดพักการทำงาน
โดยการบูรณาการ Blockchain เข้ามาใช้กับธนาคารที่ผู้บริโภคสามารถดูการประมวลผลการทำธุรกรรมแค่เพียง 10 นาที ซึ่งเป็นเวลาทั่วไปที่ใช้ในการเพิ่มบล็อกใน Blockchain โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือวันหรือสัปดาห์ และด้วยการใช้ Blockchain นั้นธนาคารก็จะมีโอกาสแลกเปลี่ยนเงินระหว่างสถาบันต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจการซื้อขายหุ้นซึ่งมีกระบวนการชำระและหักบัญชีที่อาจใช้เวลาถึงสามวัน (หรือนานกว่านั้นหากทำการซื้อขายกับตลาดต่างประเทศ)
แม้กระทั่งในช่วงเวลากว่าสองถึงสามวัน ที่เงินอยู่ระหว่างการขนส่งก็อาจมีต้นทุนและความเสี่ยงสำหรับธนาคารได้เช่นกัน ซึ่งทางธนาคาร Santander ของยุโรป และพันธมิตรด้านการวิจัยระบุว่าหากนำ Blockchain เข้ามาใช้จะสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 1.5 ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐต่อปี และ Capgemin ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินในฝรั่งเศสก็ได้ระบุว่า ผู้บริโภคสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในเรื่องของค่าธรรมเนียมธนาคารและประกันภัยในแต่ละปีอีกด้วย
สกุลเงิน
Blockchain เป็นรากฐานที่สำคัญต่อสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโต เช่น Bitcoin โดยในกรณีเงินดอลลาร์สหรัฐถูกควบคุมโดยธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งภายใต้ระบบอำนาจศูนย์กลางนี้ข้อมูลและสกุลเงินของผู้ใช้จะอยู่ในการควบคุมทางเทคนิคโดยธนาคารหรือรัฐบาลของพวกเขา และหากธนาคารของผู้ใช้ถูกแฮ็ก ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าจะตกอยู่ในความเสี่ยง และหากธนาคารของลูกค้าล่มสลายหรือพวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่รัฐบาลมีอำนาจไม่มั่นคงนั้น ค่าเงินของพวกเขาอาจตกอยู่ในความเสี่ยงได้เช่นกัน โดยในปี 2008 ธนาคารบางแห่งที่เกิดถังแตกกลับได้รับการช่วยเหลือบางส่วนโดยใช้เงินของผู้เสียภาษี และด้วยเหตุนี้เองจึงก่อให้เกิดความกังวลต่อสถาบันการเงิน ในเวลาต่อมาไม่นานนัก Bitcoin ก็ได้ถูกสร้างขึ้น
ด้วยหลักการทำงานแบบกระจายศูนย์อำนาจผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Blockchain จึงช่วยให้ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้อำนาจจากส่วนกลาง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังช่วยขจัดค่าธรรมเนียมการดำเนินการและค่าธรรมเนียมธุรกรรมจำนวนมากได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้สกุลเงินในประเทศที่มีมูลค่าหรือมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ไม่เสถียร ก็ได้มีเสถียรภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น, มีเครือข่ายบุคคล และมีสถาบันที่กว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถดำเนินธุรกิจได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตามการใช้งาน Digital Wallet สำหรับการเป็นบัญชีออมทรัพย์หรือเป็นวิธีการชำระเงินนั้น อาจจะยากต่อการเข้าถึง หากคุณเป็นผู้ที่ไม่มีบัตรประจำตัวที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ, อยู่ในประเทศที่มีสงคราม หรือมีรัฐบาลที่ไม่มีกฎหมายพื้นฐานสำหรับการระบุตัวตน ซึ่งพลเมืองของประเทศดังกล่าวอาจไม่สามารถเข้าถึงบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ได้
ข้อมูลด้านสุขภาพ
ผู้ให้บริการด้านสุขภาพก็สามารถใช้ Blockchain เพื่อจัดเก็บเวชระเบียนของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย โดยเมื่อมีการสร้าง และลงนามเวชระเบียนแล้วก็สามารถบันทึกลงใน Blockchain ได้ ซึ่งให้หลักฐานและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ป่วยว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบันทึกได้ โดยบันทึกสุขภาพส่วนบุคคลเหล่านี้จะทำการเข้ารหัสและจัดเก็บไว้ใน Blockchain ด้วยรหัสกุญแจส่วนตัว (Private Key) เพื่อให้เข้าถึงได้โดยบุคคลบางคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงมั่นใจได้ถึงความเป็นส่วนตัว
บันทึกรายการสินทรัพย์
หากคุณเคยใช้เวลาดำเนินการใด ๆ กับสำนักงานบันทึกรายการสินทรัพย์ท้องถิ่น คุณจะรู้ว่ากระบวนการบันทึกสิทธิ์ในสินทรัพย์นั้นเป็นทั้งภาระหนักและไร้ประสิทธิภาพ โดยสมมติว่าหากวันนี้โฉนดตัวจริงจะต้องถูกส่งไปยังพนักงานของรัฐที่สำนักงานบันทึกสินทรัพย์ท้องถิ่น ที่จะมีการป้อนข้อมูลด้วยตนเองในฐานข้อมูลกลางของในแต่ละท้องถิ่น และฐานข้อมูลสาธารณะในกรณีที่มีข้อพิพาทเรื่องสินทรัพย์ หรือการร้องเรียนสินทรัพย์ที่มีผลกระทบต่อสาธารณะ ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานานในการดำเนินการเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) ซึ่งความไม่ถูกต้องในแต่ละครั้งจะทำให้การติดตามความเป็นเจ้าของสินทรัพย์มีประสิทธิภาพลดน้อยลงได้อีกด้วย
Blockchain มีศักยภาพในการที่จะขจัดความไม่จำเป็นในการตรวจสอบเอกสาร และติดตามไฟล์ทางกายภาพในบันทึกของสำนักงานท้องถิ่น ซึ่งหากมีการจัดเก็บและตรวจสอบความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ด้วย Blockchain นั้นเจ้าของจะสามารถวางใจได้ว่าการกระทำของคุณจะมีความถูกต้องและได้รับการบันทึกข้อมูลลงใน Blockchain อย่างถาวร
และในประเทศหรือพื้นที่ที่ถูกทำลายจากสงคราม ที่ซึ่งมีรัฐบาลหรือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย และแน่นอนว่าคงไม่มี “สำนักงานบันทึกรายการสินทรัพย์” จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิสูจน์ความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ หากกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนั้นได้ใช้ประโยชน์จาก Blockchain ก็จะสามารถสร้างไทม์ไลน์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่โปร่งใสและชัดเจนได้
สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)
Smart Contract เป็นสัญญาทางดิจิทัลที่สามารถสร้างบน Blockchain เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบหรือเจรจาต่อรองข้อตกลงใด ๆ ในสัญญา ซึ่ง Smart Contract จะดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ใช้งานยอมรับ เมื่อตรงตามเงื่อนไขเหล่านั้น ข้อตกลงก็จะดำเนินการโดยอัตโนมัติทันที
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้เช่าที่ต้องการเช่าอพาร์ตเมนต์โดยใช้ Smart Contract และเจ้าของก็ตกลงที่จะให้รหัสประตูอพาร์ตเมนต์แก่ผู้เช่าทันทีที่ผู้เช่าชำระเงินประกัน ทั้งผู้เช่าและเจ้าของจะส่งส่วนต่าง ๆ ของข้อตกลงไปยัง Smart Contract ซึ่งจะแลกเปลี่ยนรหัสประตูโดยอัตโนมัติเมื่อผู้เช่าชำระเงินประกันในวันที่เริ่มสัญญาเช่า หากเจ้าของบ้านไม่ระบุรหัสประตูในวันที่เช่านั้น Smart Contract ก็จะดำเนินการคืนเงินประกันให้แก่ผู้เช่าทันที ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะขจัดค่าธรรมเนียมและกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทนายความ หรือผู้ไกล่เกลี่ยโดนบุคคลที่สามออกไป
ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
ในตัวอย่างของ IBM Food Trust Blockchain นั้น ซัพพลายเออร์ก็สามารถใช้ Blockchain เพื่อบันทึกที่มาของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาซื้อได้ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ของตนเอง ที่อาจมาพร้อมป้ายกำกับประเภทผลิตภัณฑ์ เช่น “Organic”, “Local”, และ “Fair Trade” เป็นต้น นอกจากนี้ตามที่มีการรายงานโดย Forbes ว่าอุตสาหกรรมอาหารกำลังนำ Blockchain เข้ามาประยุกต์ใช้มากขึ้นในการติดตามเส้นทางและความปลอดภัยของอาหารตลอดการเดินทางจากฟาร์มสู่ผู้บริโภคอีกด้วย
การลงคะแนนเสียง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อนหน้า Blockchain สามารถใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับระบบลงคะแนนที่ทันสมัย และมีศักยภาพในการขจัดการฉ้อโกงการเลือกตั้ง อีกทั้งสามารถเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปในตัว โดยได้มีการทดสอบในการจัดการเลือกตั้งที่ West Virginia ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 ซึ่งใช้การลงคะแนนเสียงผ่าน Blockchain ที่จะเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีการแก้ไขการลงคะแนน โดยโปรโตคอลของ Blockchain จะรักษาความโปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้ง ลดบุคลากรที่ไม่จำเป็นในการดำเนินการเลือกตั้ง และให้ผลลัพธ์แก่เจ้าหน้าที่เกือบจะทันที สิ่งนี้จะช่วยขจัดข้อกังวลเรื่องการฉ้อโกงในเรื่องผลลัพธ์ของการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับความซับซ้อนทั้งหมดในเรื่องศักยภาพของ Blockchain ในรูปแบบการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์อำนาจ ที่แทบจะไม่มีขีดจำกัด ตั้งแต่เรื่องความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นของผู้ใช้และการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงค่าธรรมเนียมดำเนินการที่ต่ำลงและข้อผิดพลาดที่น้อยลง โดยเทคโนโลยี Blockchain อาจมีการใช้ประโยชน์นอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี Blockchain ก็ยังคงมีข้อเสียให้เห็นอยู่บ้างเช่นกัน
ข้อดี
ข้อเสีย
Blockchain เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1991 ซึ่งถือว่าถูกตั้งรกรากในวัยสามสิบปีเช่นเดียวกับคนรุ่นมิลเลนเนียลส่วนใหญ่ โดยในยุคนั้นทั่วโลกต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าเทคโนโลยีนี้มีความสามารถอะไรและมีจุดมุ่งหมายไปที่ใดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ด้วยรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายและใช้งานได้จริง ในที่สุด Blockchain ก็สามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองเมื่ออายุใกล้จะ 30 ปี ถึงแม้จะเป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการถือกำเนิดขึ้นมาของ Bitcoin และคริปโตสกุลต่าง ๆ อีกทั้งเริ่มเป็นคำศัพท์ติดปากของนักลงทุนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า Blockchain สามารถช่วยให้การดำเนินธุรกิจและการดำเนินงานของภาครัฐมีความแม่นยำมากขึ้น มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และราคาถูก เนื่องจากมีพ่อค้าคนกลางน้อยลง และในขณะที่เราเตรียมที่จะก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สามของ Blockchain นั้นจะไม่มีคำถามอีกต่อไปว่า “ถ้าบริษัทจะนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ได้หรือไม่” แต่จะเกิดคำถามใหม่ที่ว่า “เมื่อไหร่บริษัทของคุณจะนำมันมาใช้”