Yield Farming คืออะไร?
การทำฟาร์มและเก็บเกี่ยวผลผลิตในโลกดิจิทัลด้วยคริปโตเคอเรนซี
การทำฟาร์มและเก็บเกี่ยวผลผลิตในโลกดิจิทัลด้วยคริปโตเคอเรนซี
Yield Farming มีความหมายเดียวกับคำว่า Liquidity Mining ที่หมายถึงว่า “การให้สภาพคล่อง” ซึ่งการลงทุนประเภทนี้จะคล้ายกันกับการฝากเงินในธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย (เงินสด) เป็นผลตอบแทน เพียงแต่การทำ Yield Farming นั้นผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นรูปแบบของคริปโตแทน โดยสถานที่ที่คุณจะเข้าไปทำ Yield Farming ได้นั้นเรียกว่า “DeFi Platform” หรือ Decentralized Exchange (DEX) เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีคนกลางคอยดูแล หมายความว่า การดำเนินการทุกอย่างนั้นจะทำผ่านระบบอัตโนมัติที่เรียกว่า “Automated Market Maker (AMM)”
การที่ผู้ลงทุนนำเอาสินทรัพย์ของตนเองไปทำ Yield Farming นั้น ทางแพลตฟอร์มก็จะนำเอาสินทรัพย์ดังกล่าวไปให้ผู้ลงทุนรายอื่นบนแพลตฟอร์มได้เข้ามาซื้อ แลกเปลี่ยน หรือแม้แต่การกู้ยืมได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดการทำ Yield Farming ถึงเกี่ยวข้องกับคำว่าสภาพคล่องโดยตรง เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องให้แก่แพลตฟอร์ม นอกจากนี้ทางแพลตฟอร์มก็จะจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบของส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม และโทเคนประจำแพลตฟอร์มที่โดยทั่วไปจะเรียกว่า “Governance Token” และในขณะเดียวกันผู้ลงทุนก็สามารถนำผลตอบแทนที่ได้นั้นไปทำ Yield Farming หมุนวนไปเรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะแบ่งไปทำในหลาย ๆ แพลตฟอร์มก็ได้เช่นกันเพื่อรับผลตอบแทนเพิ่มเติมทวีคูณ
1. ผู้ลงทุน (Yield Farmer) นำสินทรัพย์ไปฝากไว้ในแพลตฟอร์มใดก็ได้ เมื่อได้รับโทเคน (Governance Token) เป็นผลตอบแทนแล้ว ก็นำโทเคนนั้นกลับเข้าไปฝากเพิ่มอีกครั้ง หมายถึงเป็นการนำเอากำไรไปทำเป็นเงินทุนต่ออีกทอดหนึ่ง (ผลตอบแทน = โทเคน + ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม)
2. หรือเมื่อผู้ลงทุนได้รับโทเคนจากแพลตฟอร์มในข้อ 1 แล้วก็ให้นำโทเคนนั้นออกมาเพื่อเอาไปฝากในแพลตฟอร์มอื่น เพื่อเป็นการทวีผลตอบแทน (กรณีนี้ก็จะได้รับโทเคนจากแพลตฟอร์มที่ 2 เช่นเดียวกัน)
3. นำโทเคนจากแพลตฟอร์มที่ 2 ไปลงทุนในแพลตฟอร์มอื่น ต่อไปเรื่อย ๆ
ซึ่งการลงทุนรูปแบบดังกล่าวนั้น ผู้ลงทุนจะได้รับแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่ต้องหั่นแบ่งผลตอบแทนกับใคร ซึ่งผลตอบแทนนั้นอาจได้รับตั้งแต่ 10% และอาจสูงสุดถึง 500% ต่อปีก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามการเลือกแพลตฟอร์มก็เป็นสิ่งสำคัญต่อผลประโยชน์ที่ผู้ลงทุนจะได้รับเช่นเดียวกัน ดังนั้นควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่รูปแบบการจ่ายผลตอบแทนไปจนถึงระบบความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในระยะยาว
“เป็นชาวนาในโลกดิจิทัลด้วยการทำ Yield Farming”
Yield Farming vs Crypto Mining (การทำฟาร์มและการขุดคริปโต)
Yield Farming นั้นใช้หลักการทำงานบนเครือข่าย Ethereum โดยเป็นการเงินระบบ DeFi ที่จะอยู่บนแพลตฟอร์ม DEX หรือแพลตฟอร์มกระจายอำนาจ แต่ในทางกลับกัน Crypto Mining นั้นเป็นวิธีการสร้างรายได้แบบเก่าที่ทำงานอยู่บนอัลกอริธึม Proof of Work
Yield Farming vs Liquidity Mining (การทำฟาร์มและการขุดสภาพคล่อง)
การลงทุนทั้งสองประเภทนั้นดำเนินการในรูปแบบ DeFi เป็นหลัก ซึ่งมีกระบวนการเดียวกันคือการให้สภาพคล่องและเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนสูงสุด แต่อย่างไรก็ตามวิธีการให้สภาพคล่องของทั้งคู่นั้นมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย โดยทุกครั้งที่คุณให้สภาพคล่องแก่แพลตฟอร์มใดก็ตามเพื่อรับโทเคนนั้นจะเรียกว่า “Yield Farming” แต่ในขณะเดียวกันสำหรับ “Liquidity Mining” นั้นจะหมายถึงการให้สภาพคล่องแก่แพลตฟอร์ม DeFi ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่เพื่อรับผลตอบแทนเป็นโทเคนที่เฉพาะเจาะจง จึงเป็นเหตุผลที่เรียกว่าการขุดสภาพคล่อง เนื่องจากเป็นการริเริ่มการทำงานของแพลตฟอร์มใหม่
Yield Farming vs Staking (การทำฟาร์มและการเดิมพัน)
Yield Farming มีความซับซ้อนกว่ามากเมื่อเทียบกับการ Staking โดยการ Staking นั้นทำงานอยู่บนอัลกอริธึม Proof of Stake ที่มีหลักการทำงานคือผู้ตรวจสอบจะสร้างบล็อกผ่านกระบวนการสุ่มเลือกและรับรางวัลที่จ่ายโดยนักลงทุนของแพลตฟอร์ม ยิ่งเงินเดิมพันสูง ผลตอบแทนจากการ Staking ก็ยิ่งมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน Yield Farming จะให้ผลตอบแทนจากการใช้ฟังก์ชันของระบบ DeFi เป็นหลัก
โดยทั่วไปการ Staking มักจะเกี่ยวข้องกับเงินทุนที่มีจำนวนมากและอาจใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะครบกำหนดในการรับเงินทุนกลับคืน แต่ในขณะเดียวกันสำหรับ Yield Farming จะสามารถรับ Governance Token หลายรายการ จากหลายแพลตฟอร์มที่เข้าไปลงทุน และสามารถแลกเป็นผลตอบแทนได้ทันที
บริหารการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
Impermanent Loss
Yield Farming จะลงทุนแบบคู่เหรียญ (Cryptocurrency Pair) ที่ต้องการแลกเปลี่ยนใน Liquidity Pool ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ทำให้มีมูลค่าต่ำกว่าตอนที่เรานำมาฝาก อาจทำให้สัดส่วนของคู่เหรียญเปลี่ยนไป และหากถอนออกมาจะทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นการลงทุนคู่เหรียญที่แนะนำคือการจับคู่ระหว่าง Stablecoin ด้วยกันหรือกับคริปโตสกุลใดสกุลหนึ่งจึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างรัดกุมกว่า เนื่องจาก Stablecoin มีมูลค่าคงที่อยู่แล้ว ส่วนอีกเหรียญอาจจะมีการขึ้นหรือลงก็ได้
ความเสี่ยงจากการโดนแฮ็ก
เนื่องจากการ Yield Farming ทำผ่านระบบ DeFi จึงจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นคนแฮ็ก ซึ่งในปัจจุบันก็มีแพลตฟอร์ม DeFi ที่หลากหลาย และในจำนวนนี้ก็ถูกแฮ็กมาแล้วไม่น้อย ดังนั้นจึงควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มให้ดี
ความผันผวนของราคา Governance Token
ในแต่ละแพลตฟอร์ม DeFi ก็จะมีโทเคนเป็นของตนเองเพื่อใช้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากเดิม แต่หากราคาในตลาดมีความผันผวน สัดส่วนผลตอบแทนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดต่ำลงได้เช่นกัน
ค่าธรรมเนียม
หรือที่เรียกกันในวงการ DeFi ว่าค่า Gas ซึ่งแพลตฟอร์ม DeFi ส่วนมากทำงานอยู่บน Blockchain ของ Ethereum ที่ชื่อว่า ERC-20 หากวงการ DeFi แพร่หลายหรือเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ รายการธุรกรรมก็จะยิ่งแออัดขึ้นเท่านั้น และบนเครือข่าย ERC-20 ก็คงจะมีรายการธุรกรรมที่ต้องตรวจสอบเป็นจำนวนมาก ดังนั้นส่งผลให้ค่าธรรมเนียมอาจแพงขึ้นและอาจใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากมีความต้องการใช้งานมากขึ้นนั่นเอง
Yield Farming เป็นทางเลือกการลงทุนรูปแบบหนึ่งของระบบการเงินบนแพลตฟอร์ม DeFi ที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องคริปโตระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนที่เลือกใช้ Yield Farming มักจะลงเงินทุนก้อนใหญ่อย่างน้อยก็หลักแสน เพราะรูปแบบของการได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ และสามารถเก็บเกี่ยวไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งแทบจะเห็นตัวเลขของผลตอบแทนเพิ่มขึ้นทุกชั่วโมง