ตลาดกระทิงและตลาดหมี (Bull and Bear Market)
ทำความเข้าใจสภาวะของตลาดเพื่อเสริมกลยุทธ์การลงทุนให้แข็งแกร่ง
ทำความเข้าใจสภาวะของตลาดเพื่อเสริมกลยุทธ์การลงทุนให้แข็งแกร่ง
ในโลกของการลงทุนนั้น คำว่า “กระทิง” และ “หมี” มักใช้เพื่อบ่งบอกถึงสภาวะตลาดการเงินใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่คริปโต โดยคำศัพท์เหล่านี้จะอธิบายว่าแนวโน้มของตลาดการเงินกำลังดำเนินไปอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปไม่ว่าตลาดจะแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงก็ตามในฐานะนักลงทุนแล้วนั้น ทิศทางของตลาดคือสิ่งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพอร์ตการลงทุนได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำความเข้าใจว่าในแต่ละสภาวะตลาดจะส่งผลอย่างไรต่อการลงทุนของคุณ
เนื่องจากแนวโน้มของตลาดสำหรับนักลงทุนแล้วนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจเพื่อการลงทุน จึงมีการใช้คำนิยามทั้งสองนี้เพื่อเรียกแทนพฤติกรรมของตลาด และใช้แสดงแนวโน้มของตลาดว่าจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด
โดยตลาดกระทิงจะปรากฎให้เห็นในช่วงที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในกรณีนี้จะหมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม และในช่วงเวลาดังกล่าวนักลงทุนมักมีความเชื่อว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่จะดำเนินต่อไปในระยะยาว ซึ่งในทางตรงกันข้ามนั้นตลาดหมีเป็นช่วงของราคาที่ตกต่ำ โดยจะถือว่าตลาดหมีเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อมูลค่าตลาดลดลงไป 20% หรือมากกว่านั้นเมื่อเทียบจากระดับสูงสุดที่อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งในช่วงที่ราคาในตลาดจะลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น หากนักลงทุนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมไปในทิศทางเดียวกันก็จะส่งผลให้ราคาร่วงต่ำลงไปอีกได้ ตัวอย่างเช่น การถอนเงินออกมาจากตลาดเพื่อรักษาเงินทุนของตนเองไว้
หากพูดถึงตลาดกระทิงในวงการคริปโตโดยอ้างอิงตามทฤษฎี Dow Theory ที่ระบุว่า “การที่ราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะมีการย่อตัวลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่ายังเป็นช่วงของขาขึ้นอยู่” เช่น ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 32,000 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ จากนั้นก็มีการย่อตัวลงมาที่ 38,000 ดอลลาร์ และได้ดีดตัวขึ้นไปที่ 48,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นว่ามีการย่อตัวสลับกันอยู่บ้าง แต่ก็สามารถทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 57,000 ดอลลาร์ได้ ซึ่งราคาที่ปรับขึ้นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 และจะเห็นว่าภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นเกือบเท่าตัวสลับกับการย่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยพฤติกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านี่คือ “สภาวะตลาดกระทิง”
ในทางกลับกันตลาดหมีก็จะเป็นตลาดที่ราคาย่อตัวลง และสร้างจุดต่ำสุดใหม่ของราคาอย่างต่อเนื่อง เช่น ราคาของ Bitcoin จาก 64,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดที่เคยไต่ไปถึงในปี 2021 นี้ จากนั้นราคาได้ลดลงต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ และมีได้การดีดตัวขึ้นมาที่ 58,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายราคาก็ปรับลงไปต่ำสุดที่ 28,800 ดอลลาร์ โดยจะเห็นได้ว่าราคาย่อตัวลงเรื่อย ๆ และไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งราคาที่ปรับลงมากกว่าเท่าตัวในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านี่คือ “สภาวะตลาดหมี”
อุปสงค์และอุปทาน
ในตลาดกระทิงจะมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และอุปทานที่อ่อนแอต่อตัวสินทรัพย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือนักลงทุนจำนวนมากต้องการซื้อสินทรัพย์ และมีนักลงทุนเพียงจำนวนน้อยที่ยินดีขาย ซึ่งเป็นผลให้กลไกราคาจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
แต่ในตลาดหมีจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยอุปสงค์จะต่ำกว่าอุปทานอย่างมาก และผู้คนต้องการที่จะขายมากกว่าที่จะซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้กลไกราคาตกต่ำลงได้เช่นเดียวกัน
จิตวิทยานักลงทุน
เนื่องจากพฤติกรรมของตลาดได้รับอิทธิพล และถูกควบคุมโดยวิธีที่ผู้คนรับรู้และตอบสนองต่อพฤติกรรมของมัน ซึ่งจิตวิทยาของนักลงทุนและความเชื่อมั่นนั้น จะส่งผลต่อไปยังราคาตลาดว่าจะขึ้นหรือจะลงได้อีกด้วย โดยประสิทธิภาพของตลาดและจิตวิทยาของนักลงทุนในช่วงตลาดกระทิงนั้นจะพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งนักลงทุนก็จะต้องเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของตลาด โดยหวังว่าจะได้รับผลกำไรจากการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเข้ามาในช่วงที่ราคาตลาดกำลังไปได้ดี
แต่ในขณะเดียวกันสภาวะตลาดหมี ที่สื่อถึงความเชื่อมั่นต่อตลาดของนักลงทุนที่เป็นไปในทางลบ ซึ่งนักลงทุนจะเริ่มย้ายเงินออกจากตลาด และถือเงินสดไว้ในขณะที่รอสัญญาณความเคลื่อนไหวของตลาดกลับมาในเชิงบวก โดยสรุปแล้วราคาสินทรัพย์ในตลาดที่ตกต่ำลง จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดเริ่มสั่นคลอนเช่นกัน เมื่อนักลงทุนเริ่มเอาเงินออกจากตลาดจึงเป็นเหตุให้กลไกราคาลดต่ำลงตามการไหลออกของเงินสดด้วย
“กระทิงขวิดขึ้น หมีตบลง พฤติกรรมการต่อสู้ที่นำมาใช้บอกสภาวะตลาด”
หากพูดถึงปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวกำหนดหลักว่าเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีนั้น ไม่ได้มีเพียงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในตลาดเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของประสิทธิภาพของตลาดในระยะยาวว่าเป็นอย่างไร รวมไปถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่แสดงถึงแนวโน้มระยะสั้นที่อาจเป็นเพียงการปรับฐานของตลาดก็ได้ และการบอกว่ามีตลาดกระทิงหรือตลาดหมีหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถสังเกตได้เฉพาะช่วงเวลาที่เหตุการณ์ในตลาดเกิดขึ้นในระยะยาวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกการเคลื่อนไหวที่ยาวนานในตลาดจะสามารถระบุได้ว่านี่เป็นสภาวะตลาดใด ซึ่งในบางครั้งตลาดอาจจะต้องผ่านช่วงที่ซบเซาหลังจากที่ทำราคาสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง และตลาดพยายามหาทิศทางให้ตนเองว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใดต่อไป ซึ่งในช่วงเวลาแบบนี้ตลาดอาจมีแนวโน้มคงที่ หรือที่เรียกกันว่าการ “Sideway”
โดยกล่าวได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำหนดจังหวะของสภาวะตลาดให้ถูกต้อง และสมบูรณ์แบบ ซึ่งการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดก็สำคัญ ถึงแม้อาจเป็นแค่เพียงการวิเคราะห์เบื้องต้น แต่ก็เป็นวิธีที่อ้างอิงโดยองค์ความรู้และพื้นฐานความเป็นจริงในตลาด โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากวิธีเหล่านี้ เช่น
วิเคราะห์จากกราฟแท่งเทียน
กราฟแท่งเทียน (Candle Stick) เป็นเครื่องมือที่ช่วยบ่งชี้สภาวะของตลาดได้เป็นอย่างดี โดยจะต้องพิจารณาจากกราฟที่ใช้ไทม์เฟรมหรือช่วงระยะเวลาที่บ่งบอกพฤติกรรมตลาด ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ไทม์เฟรมระดับ Day หรือ Week เป็นตัวบ่งบอกแนวโน้ม
ถ้าเกิดแท่งสีเขียวใหญ่จะเรียกว่า Big White และหากเกิดอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดแท่งสีแดงเลย ก็จะมีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “Three White Soldiers” หรือ “สามทหารเสือ” โดยกราฟลักษณะนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือสภาวะตลาดกระทิง
แต่ในทางกลับกันหากมีแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่เกิดขึ้นสามแท่งต่อเนื่องกัน โดยจะมีศัพท์เฉพาะว่า “Three Black Crows” หรือ “อีกาสามตัว” ซึ่งราคามีจุดต่ำสุดลงเรื่อย ๆ ซึ่งนี่จึงเป็นสัญญาณของสภาวะตลาดหมี
ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ปริมาณการซื้อขาย (Volume Trading) จะบ่งบอกความคึกคักของตลาดว่าเป็นไปในทิศทางใด ยิ่งมี Volume มากแสดงว่าตลาดมีความคึกคักมาก และมีโอกาสที่จะส่งผลให้มีการปรับตัวขึ้นของราคา หรือการปรับตัวลงของราคาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปริมาณการซื้อขายก็จะสามารถบ่งบอกถึงสภาวะของตลาดได้ในระดับหนึ่ง
คุณสามารถตรวจสอบปริมาณการซื้อขายของคริปโตที่สนใจได้ที่เว็บไซต์ CoinMarketCap ซึ่งบนเว็บไซต์จะแสดงปริมาณการซื้อขายใน 24 ชั่วโมงล่าสุดว่ามีปริมาณหมุนเวียนและมีมูลค่าเท่าไหร่
มูลค่าเปลี่ยนแปลงมากกว่า 20%
ย้อนไปในตัวอย่างของหัวข้อพฤติกรรมของตลาดกระทิงและตลาดหมี ซึ่งจะเห็นได้ว่าทิศทางของราคา Bitcoin ที่ไม่ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นหรือลดต่ำลงก็ตาม ต่างก็มีอัตราปรับตัวที่สูงกว่า 20% เมื่อเทียบจากจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดที่เคยไปถึงในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน โดยสิ่งนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ใช้บ่งชี้ได้ว่าขณะนี้ตลาดอยู่ในสภาวะใด
พฤติกรรมของตลาดส่งผลโดยตรงต่อจิตวิทยาการลงทุน ควรจับสัญญาณให้ดี
ในตลาดกระทิงสิ่งที่นักลงทุนควรทำคือใช้ประโยชน์จากราคาที่ปรับสูงขึ้น โดยเข้าซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่ช่วงแรกของทิศทางตลาด (หากเป็นไปได้) แล้วจึงปล่อยขายเมื่อคิดว่าถึงจุดสูงสุดของราคา ซึ่งในช่วงตลาดกระทิงนี้การขาดทุนควรเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะโดยทั่วไปนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในตลาดอยู่แล้วว่าเขาจะได้รับผลกำไรอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามในตลาดหมี โอกาสในการขาดทุนนั้นมีมากเนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดสูญเสียมูลค่าอย่างต่อเนื่อง และเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าจุดจบของมันอยู่ที่ใด ถึงแม้ว่าคุณจะทำการตัดสินใจเข้าลงทุนก็มักจะขาดทุนก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัว ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ในสภาวะตลาดหมีเช่นนี้ ก็คือ “การเทรดแบบ Short” ที่สามารถทำกำไรในช่วงตลาดขาลงได้ แต่ทั้งนี้คุณจะต้องวิเคราะห์ทิศทางตลาดให้แน่ใจก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะถ้าหากราคาวิ่งสวนทางเพียงนิดเดียวคุณก็อาจจะขาดทุนได้ทันทีเช่นกัน
ทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการลงทุนไม่ว่าจะในตลาดการเงินประเภทใด ดังนั้นคุณควรใช้เวลาในการพิจารณาว่าตลาดกำลังทำอะไร และเมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วโปรดตระหนักไว้ว่า “ในระยะยาวนั้นทุกตลาดการเงินให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกเสมอ” ซึ่งหากคุณพอใจในผลกำไรจำนวนนั้นแล้วก็สามารถปล่อยขายได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ราคาถึงจุดสูงสุดใหม่เพื่อผลกำไรที่มากที่สุด เพราะทุกตลาดสามารถทำสถิติราคาใหม่ได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว นอกจากนั้นแล้วการเข้าซื้อแบบถัวเฉลี่ยอาจจะปลอดภัยกว่าในระยะยาวอีกด้วย