ทำความรู้จักกับ Chainlink (LINK)
คริปโตที่มีหน้าที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลภายในและภายนอก
คริปโตที่มีหน้าที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลภายในและภายนอก
Chainlink เป็นเครือข่าย Oracle ที่เป็นรูปแบบกระจายอำนาจ ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมสะพานระหว่าง Smart Contract เข้ากับแหล่งข้อมูลภายนอกได้ โดยข้อนี้เครือข่าย Blockchain ส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอกในลักษณะที่เชื่อถือได้ หมายความว่าเครือข่าย Oracle ที่กระจายอำนาจของ Chainlink จะช่วยให้ Smart Contract นั้นสื่อสารกับข้อมูลภายนอกได้ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามสัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งระบบการสร้าง Smart Contract ของเครือข่าย Ethereum นั้นก็ยังไม่มีความสามารถในรูปแบบดังกล่าวอีกด้วย
เพื่อให้เข้าใจตรงกันถึงประโยชน์และการทำงานของ Chainlink นั้น คุณต้องทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานที่เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งอันดับแรกเริ่มจากการเปิดใช้งาน Smart Contract ที่ต้องการสร้างข้อตกลงด้วยข้อมูลที่อยู่นอกเหนือเครือข่าย Blockchain แต่โดยทั่วไปแล้วการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลภายนอกเข้ากับ Smart Contract ของเครือข่าย Blockchain นั้นมีข้อจำกัดในเรื่องความแตกต่างของภาษาที่เครือข่าย Blockchain ไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้นจึงเป็นจุดสำคัญที่ Chainlink ได้นำเอา Oracle เข้ามาประสานการทำงานร่วมกัน โดยเป็นซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือน “Middleware” ซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการแปลข้อมูลไปมาระหว่างโลกแห่งความจริงไปสู่การสร้าง Smart Contract บนเครือข่าย Blockchain
ในขณะเดียวกัน Oracle แบบรวมศูนย์อำนาจอาจสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับ Smart Contract ที่มีการรักษาความปลอดภัยแบบกระจายอำนาจได้เช่นกัน ซึ่งหาก Oracle มีข้อผิดพลาดหรือถูกบุกรุกนั้นคุณจะทราบได้อย่างไรว่าข้อมูลที่คุณได้มาเพื่อสร้าง Smart Contract มีความถูกต้อง กล่าวคือ Smart Contract ที่นำเสนอตนเองว่าปลอดภัยและน่าเชื่อถือบนเครือข่ายของ Blockchain นั้นจะถูกต้องได้อย่างไรหากข้อมูลที่ป้อนลงไปยังคงมีปัญหา ดังนั้นข้อสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับ Smart Contract และ Oracle มีดังนี้:
1. Smart Contract เป็นสัญญาที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข แต่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งดำเนินการโดยอัตโนมัติเมื่อตรงตามเงื่อนไข เปรียบเสมือนคำสั่ง IF/THEN
2. ข้อมูลที่กำหนดเงื่อนไขภายใน Smart Contract มักจะมาจากเครือข่าย Blockchain
3. ในขณะนี้ได้มีการประสานการทำงานเข้ากับ Oracle เพื่อนำข้อมูลจากแหล่งภายนอก (Off-Chain) ไปยัง Smart Contract บนเครือข่ายได้ (On-chain)
4. แต่ Oracle แบบรวมศูนย์นั้นอาจทำให้คุณประโยชน์ของการเป็น Smart Contract บนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์อำนาจนั้นลดน้อยลง เนื่องจากอาจมีข้อผิดพลาดและไม่น่าเชื่อถือ
Chainlink เป็นเครือข่ายโหนดในรูปแบบกระจายอำนาจ ซึ่งมีหน้าที่จัดหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแบบ “Off-blockchain to On-blockchain” หมายถึงจัดหาข้อมูลจากแหล่งภายนอกและนำไปป้อนลงใน Smart Contract ผ่านทาง Oracle แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้หากถูกดำเนินการฮาร์ดแวร์ที่มีความปลอดภัยพิเศษ จะช่วยขจัดปัญหาด้านความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แหล่งข้อมูลแบบรวมศูนย์เพียงแหล่งเดียวได้เช่นกัน
กระบวนการแรกจะเริ่มต้นบนเครือข่าย Blockchain เมื่อเริ่มเปิดใช้งาน Smart Contract และมีการร้องขอข้อมูล โดย Smart Contract นั้นจะทำการออกคำขอสำหรับข้อมูลที่เรียกว่า “Requesting Contract” จากนั้นโปรโตคอลของ Chainlink จะบันทึกคำขอนี้เป็น “Event” และทำการสร้าง Smart Contract ที่คล้ายกัน (Chainlink Service Level Agreement (SLA) Contract) เพื่อรับข้อมูลจากแหล่งนอก นอกจากนี้ Chainlink SLA มีการสร้างสัญญาย่อยอีก 3 สัญญาที่มีหน้าที่ต่างกัน ได้แก่
กระบวนการต่อมา Chainlink จะรับคำขอของข้อมูลใน Requesting Contract และใช้ซอฟต์แวร์ “Chainlink Core” เพื่อแปลคำขอนั้นจากภาษาโปรแกรมบนเครือข่าย Blockchain ให้เป็นภาษาโปรแกรมที่แหล่งข้อมูลนอกเครือข่ายสามารถเข้าใจได้ โดยคำขอเวอร์ชันที่แปลใหม่นี้จะถูกส่งต่อไปยังแอพพลิเคชันภายนอกที่เรียกว่า “API” ที่ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่มาเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นเมื่อรวบรวมข้อมูลแล้วก็จะถูกแปลกลับไปเป็นภาษาโปรแกรมบนเครือข่าย Blockchain ผ่านซอฟต์แวร์ Chainlink Core และส่งกลับไปยัง Aggregating Contract ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ Aggregating Contract นี้สามารถตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งเดียวหรือหลายแหล่งได้ รวมไปถึงสามารถปรับข้อมูลจากหลายแหล่งก็ได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น หากโหนด 5 โหนดส่งคำตอบเดียวกันจากเซ็นเซอร์สภาพอากาศ แต่มีอีก 2 โหนดที่ให้คำตอบแตกต่างกันออกไป โดยระบบของ Aggregating Contract จะทราบได้ทันทีว่าโหนดทั้ง 2 มีข้อบกพร่อง (หรือไม่น่าไว้ใจ) และจะทำการละทิ้งคำตอบที่ผิดพลาดของทั้ง 2 โหนดออกไปทันที
“อุปทานหมุนเวียนอยู่ที่ 4.52 ร้อยล้านโทเคน จากอุปทานสูงสุดที่ 1 พันล้านโทเคน”
ผู้ที่สร้าง Requesting Contract จะต้องถือโทเคน LINK ไว้เพื่อชำระเงินให้กับผู้ดำเนินการโหนดหรือ Node Operator บนเครือข่ายของ Chainlink โดยราคาจะถูกกำหนดจาก Operator ตามความต้องการของข้อมูลที่สามารถให้ได้ และราคาตลาดปัจจุบันของข้อมูลเหล่านั้น
Operator สามารถใช้โทเคน LINK ในการ Staking ไว้กับเครือข่ายได้อีกด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ Operator ควรทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการทำงานบนเครือข่ายและสร้างแรงจูงใจในการบริการที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ Reputation Contract จะทำการพิจารณาเลือกโหนดเพื่อจับคู่กับคำร้องขอข้อมูล ด้วยสัดส่วนที่แต่ละโหนดถือครองโทเคน LINK ภายใต้การ Staking บนเครือข่ายที่ถือเป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์การพิจารณา ซึ่งหากโหนดใดที่มีสัดส่วนการถือครองมากกว่านั้นจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับเลือกให้ตอบสนองต่อคำร้องขอข้อมูล (และสามารถรับโทเคน LINK เป็นผลตอบแทนสำหรับการบริการ) นอกจากนี้เครือข่าย Chainlink ยังมีมาตรการลงโทษโหนดที่มีข้อบกพร่องหรือไม่น่าไว้วางใจ ด้วยการเก็บภาษีจากการถือครอง LINK สำหรับการบริการที่ไม่ดีอีกด้วย
โทเคน LINK ถูกพัฒนาขึ้นบนเครือข่าย Ethereum ตามมาตรฐานโทเคน ERC-20 ซึ่งสามารถซื้อและขายเป็นสกุลเงินดั้งเดิมหรือแปลงเป็นคริปโตเคอเรนซีสกุลอื่นได้เช่นกัน โดยสามารถซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนทั่วไปได้เช่นเดียวกันกับคริปโตเคอเรนซีตัวอื่น ๆ อีกด้วย ตัวอย่างเช่น Bitkub, Binance, Kraken, Bitfinex และ FTX เป็นต้น
มูลค่าตามราคาตลาด ณ เดือนกันยายน 2021 ของ LINK อยู่ที่ 4.2 แสนล้านบาท