Connect with us

สิ่งใดเป็นตัวกำหนดราคาของ 1 Bitcoin?

Bitcoin คริปโตยอดนิยมมีมูลค่าได้ด้วยหลายเหตุปัจจัย

Bitcoin คือใคร?

Bitcoin เป็นสกุลเงินเสมือนที่เรียกว่า “คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)” ที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า “Satoshi Nakamoto” ซึ่งการทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin นั้นจะถูกบันทึกลงบนเครือข่าย Blockchain แต่นอกเหนือจากการแสดงประวัติการทำธุรกรรมแล้วนั้น ยังสามารถใช้เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังถือเป็นคริปโตที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดอีกด้วย ในขณะนี้ได้ถือครองส่วนแบ่งของตลาดโดยรวมไปกว่า 41.5% ด้วยกัน จึงถือเป็นคริปโตที่ได้รับความนิยมสูงสุด อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมคริปโตอีกด้วย

Bitcoin นั้นจะไม่เหมือนกับการลงทุนในสกุลเงินดั้งเดิมที่ออกโดยธนาคารกลางและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งการซื้อ Bitcoin มีความแตกต่างจากการซื้อหุ้นหรือพันธบัตรโดยสิ้นเชิง เพราะ Bitcoin ไม่ใช่บริษัทหรือนิติบุคคล ดังนั้นจึงไม่มีเอกสารงบดุลขององค์กรหรือแบบฟอร์ม 10-K* ให้ตรวจสอบ

แบบฟอร์ม 10-K* คือเอกสารที่เปิดเผยข้อมูลบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

จุดเด่น

  • การซื้อหุ้นทำให้คุณเป็นหนึ่งในเจ้าของบริษัท การซื้อ Bitcoin ทำให้คุณเป็นเจ้าของสกุลเงิน
  • ราคาของ Bitcoin ได้รับอิทธิพลจากอุปสงค์และอุปทาน ความต้องการของตลาด ความพร้อมใช้งาน และการแข่งขันกันของคริปโตทั้งหมดในตลาด
  • ปี 2021 Bitcoin มีการขุดออกมาแล้วประมาณ 89% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมด

ทำความเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นตัวกำหนดราคาของ 1 Bitcoin

เนื่องจาก Bitcoin ไม่ได้ออกโดยธนาคารกลาง หรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง ดังนั้นนโยบายทางการเงิน อัตราเงินเฟ้อ และการวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มักจะมีอิทธิพลต่อมูลค่าของสกุลเงิน จึงไม่มีผลกับตัว Bitcoin แต่ในทางตรงกันข้ามนั้นราคาของ Bitcoin ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่อไปนี้

  • อุปทานของ Bitcoin และความต้องการของตลาดในตัวของมัน
  • ต้นทุนในการผลิต Bitcoin ที่ทำผ่านกระบวนการขุด
  • รางวัลที่แจกจ่ายให้กับผู้ขุด Bitcoin ในการตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย Blockchain
  • ตลาดแลกเปลี่ยนที่เปิดให้มีการซื้อขาย
  • ข้อบังคับว่าด้วยการขาย
  • กรณีใช้งานภายในตัวของมันเอง

และหัวข้อถัดไปจากนี้ จะเป็นการขยายความว่าในแต่ละปัจจัยดังกล่าว มีรายละเอียดหรือที่มาที่สำคัญอย่างไร

อุปสงค์และอุปทาน

ในประเทศที่ไม่สามารถควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้คงที่ได้นั้น แต่ทำได้เพียงแค่ควบคุมสกุลเงินของตนเองว่าควรมีอุปทานหมุนเวียนเท่าใดจึงเหมาะสม โดยธนาคารกลางต้องทำการปรับลดนโยบายทางการเงิน ได้แก่ อัตราคิดลด (Discount Rate), เปลี่ยนแปลงการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve Requirement) และการดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open Market Operations: OMOs) ซึ่งด้วยวิธีเหล่านี้ทางธนาคารกลางอาจสร้างผลกระทบต่อสกุลเงินของประเทศได้เช่นเดียวกัน

อุปทานของ Bitcoin ได้รับอิทธิพลในสองปัจจัยที่แตกต่างกัน ดังนี้

ปัจจัยแรก: โปรโตคอลของ Bitcoin นั้นอนุญาตให้การผลิต Bitcoin เหรียญใหม่อยู่ในอัตราคงที่ และจะนำเข้าสู่ตลาดเมื่อนักขุดทำการประมวลผลบล็อกของธุรกรรมเสร็จสิ้น ซึ่งต่อมาอัตราการผลิตเหรียญใหม่ได้รับการออกแบบให้ช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น การเติบโตได้ชะลอตัวจาก 6.9% (2016) เป็น 4.4% (2017) และเป็น 4.0% (2018) จากตัวเลขจะเห็นว่าสิ่งนี้สามารถสร้างสถานการณ์ที่ทำให้อัตราอุปสงค์เพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราอุปทาน และจะสามารถผลักดันราคาได้ด้วยการชะลอตัวของการเติบโตของ Bitcoin ใหม่ ที่เกิดจากการแจกจ่ายรางวัลในบล็อกให้แก่ผู้ขุดบนเครือข่ายนั้นจะลดลงครึ่งหนึ่งทุก 4 ปี (Halving) และถือได้ว่าเป็นการสร้างภาวะเงินเฟ้อเทียมสำหรับระบบนิเวศของ Bitcoin

ปัจจัยที่สอง: อุปทานที่อาจได้รับอิทธิพลจากจำนวน Bitcoin ที่ระบบอนุญาตให้มีอยู่เพียง 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อถึงจำนวนนี้กิจกรรมการขุดจะไม่สร้าง Bitcoin ใหม่อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ในขณะนี้อุปทานหมุนเวียนของ Bitcoin สูงถึง 18.76 ล้านเหรียญแล้ว (เดือนกรกฎาคม ปี 2021) ซึ่งคิดเป็น 89% ของอุปทานทั้งหมดที่จำกัดไว้ และเมื่อ 21 ล้าน Bitcoin ได้ถูกขุดออกมาครบแล้ว (คาดว่าจะครบในปี 2140 หรือนานกว่านั้น) ราคาก็จะขึ้นอยู่กับว่ามันใช้งานได้จริงหรือไม่ (ความพร้อมใช้ในการทำธุรกรรม) มันถูกกฎหมายหรือไม่ และความต้องการในตลาดเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคริปโตสกุลอื่น ๆ

“ราคาสูงสุดหรือ All Time High ของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท”

การแข่งขันในตลาด

ถึงแม้ว่า Bitcoin อาจเป็นคริปโตที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แต่ก็ยังมีคริปโตอื่น ๆ อีกนับร้อยที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งความนิยมจากกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งในขณะที่ Bitcoin นั้นยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นเกี่ยวกับมูลค่ารวมตามราคาตลาด แต่ยังมี Altcoin ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เช่น Ethereum (ETH), Tether (USDT), Binance Coin (BNB), Cardano (ADA) และ Polkadot (DOT) เป็นต้น สกุลเหล่านี้ก็ต่างเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่ใกล้ชิดที่สุดในปี 2021 นี้

และนอกจากนี้การระดมทุน ICO ใหม่ ๆ ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างดี เนื่องจากมีอุปสรรคเข้ามาค่อนข้างน้อยเพราะตลาดมีการแข่งขันกันในวงกว้าง ซึ่งมันจะส่งผลให้เหรียญใหม่แข่งกันขายในราคาที่ต่ำและเป็นผลดีต่อนักลงทุนในการเข้าซื้อ โดยถือเป็นความโชคดีสำหรับ Bitcoin ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลาดกาลอยู่แล้วจึงทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่งอื่น ๆ

Bitcoin มีต้นทุนในการขุด ดังนั้นจึงไม่มีวันที่ราคาจะเป็น 0

ต้นทุนการผลิต

ถึงแม้ว่า Bitcoin จะเป็นเพียงแค่สกุลเงินเสมือนที่จับต้องไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องผลิตขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด โดยในปัจจุบันการขุด Bitcoin เป็นที่รู้กันว่าต้องอาศัยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์การเข้ารหัสที่ซับซ้อน ซึ่งนักขุดทุกคนแข่งขันกันเพื่อจะแก้โจทย์ให้สำเร็จ โดยนักขุดคนแรกที่ทำสำเร็จนั้นจะได้รับรางวัลเป็นบล็อกของ Bitcoin ที่เพิ่งสร้างใหม่ และค่าธรรมเนียมธุรกรรมใด ๆ ที่สะสมตั้งแต่บล็อกล่าสุดถูกค้นพบ

และสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับการผลิต Bitcoin ก็คือมันจะไม่เหมือนกับการผลิตสินค้าอื่น ๆ โดยอัลกอริธึมจะถูกอนุญาตให้พบ Bitcoin หนึ่งบล็อกเฉลี่ยทุก ๆ 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าหากนักขุดที่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์มีจำนวนที่มากขึ้น ก็จะมีผลทำให้โจทย์นั้นยากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นอีกด้วย จึงต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาช่วงเวลา 10 นาทีนั้นไว้จนกว่าจะแก้ไขโจทย์ได้สำเร็จ
การวิจัยพบว่าราคาตลาดของ Bitcoin นั้นมีความสัมพันธ์กับต้นทุนการผลิตส่วนเพิ่ม (Marginal Cost: MC) หรือก็คือต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณผลผลิต (ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง)

ความพร้อมใช้งานในการแลกเปลี่ยน

พิจารณาในกรณีนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ซื้อขายหุ้นรวมไปถึงดัชนีบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น NYSE, Nasdaq และ FTSE เป็นต้น ในกรณีเดียวกันนี้นักลงทุนในตลาดคริปโตที่จะซื้อขายคริปโตกันบนแพลตฟอร์ม เช่น Coinbase, Binance, Bitkub และอื่น ๆ แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็เปิดให้บริการแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงินดั้งเดิม/คริปโต (เช่น BTC/USD) ด้วยเช่นเดียวกัน

ยิ่งแพลตฟอร์มตลาดแลกเปลี่ยนเป็นที่นิยมมากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมเข้ามาได้มากเท่านั้น เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายโยงใยออกไปเป็นวงกว้างได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยการใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของตลาด จึงอาจมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ควบคุมวิธีการเพิ่มสกุลเงินอื่น ๆ เข้ามา ตัวอย่างเช่น การเปิดตัวกรอบข้อตกลงอย่างง่ายสำหรับโทเคนในอนาคต (Simple Agreement for Future Tokens: SAFT) ที่พยายามจะกำหนดว่า ICO สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านหลักทรัพย์อย่างไร แต่ด้วยการปรากฎตัวของ Bitcoin ในแพลตฟอร์มตลาดแลกเปลี่ยนเหล่านี้ที่แสดงถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ โดยอาจลืมคำนึงถึงการอยู่นอกกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่เป็นหัวใจหลักของการเป็นคริปโต

ข้อบังคับและข้อกฎหมาย

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bitcoin และคริปโตอื่น ๆ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลได้มีการถกเถียงกันถึงวิธีการจัดประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าว ถึงแม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้จัดประเภทคริปโตให้เป็น “หลักทรัพย์” แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าของสหรัฐอเมริกา (CFTC) นั้นถือว่า Bitcoin เป็น “สินค้าโภคภัณฑ์” ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสนว่าหน่วยงานกำกับดูแลใดจะกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับคริปโต และทำให้เกิดความคลุมเครือของการจัดประเภทของมันถึงแม้ว่ามูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาดจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม

นอกจากนี้ตลาดได้ปรากฎให้เห็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากมายที่ใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เช่น กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (Exchange-Traded Funds: ETFs), Future และอนุพันธ์ (Derivative) ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อราคาได้สองเหตุผลด้วยกัน ได้แก่

– เหตุผลแรก: มันทำให้นักลงทุนบางส่วนที่ไม่สามารถซื้อ Bitcoin จริงได้นั้นก็สามารถเข้าถึงการเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้เช่นเดียวกัน และแน่นอนว่ามันทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น

– เหตุผลที่สอง: ความสามารถในการลดความผันผวนของราคา โดยสถาบันลงทุน (Institutional Investor) ที่เชื่อว่า Bitcoin มีมูลค่าสูงเกินไปหรือถูกตีราคาต่ำเกินไป สามารถใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการเดิมพันว่าราคาของ Bitcoin จะเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้าม สิ่งนี้จึงช่วยชะลอราคาไม่ให้ผันผวนจนเกินไป

Fork และความมั่นคงในการดูแลเครือข่าย

เนื่องจาก Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจส่วนกลาง แต่ดำเนินการโดยนักพัฒนาและนักขุดในการประมวลผลธุรกรรม รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่าย Blockchain อีกด้วย โดยหากมีความต้องการเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ใด ๆ ก็จะต้องเป็นไปตามมติเอกฉันท์เท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชุมชน Bitcoin บางส่วนรู้สึกสิ้นหวังกับการแก้ไขปัญหาบางประการบนเครือข่าย เนื่องจากมันจะใช้เวลาที่นานเกินความจำเป็นกว่าที่จะรวบรวมมติให้เป็นไปอย่างเอกฉันท์ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องความสามารถในการปรับขยายบล็อกนั้นมีปัญหาเป็นพิเศษ โดยจำนวนธุรกรรมที่สามารถดำเนินการได้จะขึ้นอยู่กับขนาดของบล็อก และขณะนี้ซอฟต์แวร์ Bitcoin สามารถดำเนินการได้ประมาณ 3 – 7 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น ซึ่งหลายคนกังวลว่าความเร็วในการทำธุรกรรมที่ช้านั้นจะผลักดันนักลงทุนออกไปสู่คริปโตสกุลอื่นที่เป็นคู่แข่งแทน

ชุมชนมีวิธีการแบ่งแยกตามมติที่ดีที่สุดในเรื่องการเพิ่มจำนวนธุรกรรม และรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลที่ควบคุมการใช้ซอฟต์แวร์พื้นฐาน ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า “Fork” แต่จะมีแบ่งย่อยไปอีก 2 ประเภท ได้แก่ “Soft Fork” จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลที่ไม่ส่งผลให้มีการสร้างสกุลเงินใหม่แยกออกมา แต่ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์โดยการ “Hard Fork” นั้นจะส่งผลให้เกิดการสร้างสกุลเงินใหม่แยกออกมา โดย Bitcoin ได้มีการทำ Hard Fork มาแล้วหลายครั้งจนเกิดสกุลเงินแยกออกมาใหม่ เช่น Bitcoin Cash และ Bitcoin Gold เป็นต้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมูลค่า Bitcoin

Q: Bitcoin เพิ่มมูลค่าได้อย่างไร?
A: เมื่อจำนวนอุปทานของ Bitcoin ใกล้ถึงขีดจำกัดสูงสุด ส่งผลให้ความต้องการก็ยิ่งมีสูงขึ้น โดยทั้งสองสิ่งนี้ก็จะผลักดันราคา Bitcoin ให้สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน และนอกจากนี้สถาบันต่าง ๆ จำนวนมากได้เข้ามาลงทุนใน Bitcoin อีกทั้งยังยอมรับให้เป็นรูปแบบการชำระเงินอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการเพิ่มประโยชน์การใช้สอย และทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันก็ใกล้ความจริงมากขึ้นเช่นเดียวกัน

Q: ทำเงินกับ Bitcoin ได้อย่างไร?
A: Bitcoin นั้นไม่เหมือนหุ้น ซึ่งการเป็นเจ้าของนั้นไม่ได้หมายถึงการเป็นหุ้นส่วนบริษัทหรือนิติบุคคล แต่การเป็นเจ้าของ Bitcoin ก็คือการเป็นเจ้าของสกุลเงินเสมือนหรือคริปโต เช่นเดียวกับการเป็นเจ้าของเงิน $1 ที่เป็นสกุลเงินดั้งเดิมหรือสกุลเงินกระดาษ และเจ้าของ Bitcoin จะสามารถทำเงินได้ก็ต่อเมื่อราคาต่อเหรียญเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ Bitcoin จำนวน 100 เหรียญ ที่ราคา 2,090 บาท (100 x 2,090 = 209,000) ในวันที่ 5 กรกฎาคม ปี 2013 ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในประวัติการณ์ของ Bitcoin และคุณได้ถือไว้จนถึงระดับสูงสุดในประวัติการณ์ที่ราคา 2,000,490 บาท เมื่อวันที่ 13 เมษายน ปี 2021 ที่ผ่านมานี้ เท่ากับว่ามูลค่าที่คุณจะทำเงินได้เท่ากับ 100 x 2,000,490 = 200 ล้านบาทด้วยกัน

Q: ทำไม Bitcoin ถึงมีค่ามาก?
A: อุปสงค์ Bitcoin เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่อุปทานใหม่กำลังหดตัวลง โดยจำนวน Bitcoin ที่เกิดขึ้นในบล็อกจะลดจำนวนลงครึ่งหนึ่งโดยเฉลี่ยทุก ๆ 4 ปี และ Bitcoin สุดท้ายที่จะถูกขุดขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งในปี 2140 แต่ในความจริงแล้ว Bitcoin นั้นไม่เหมือนกับสินค้าส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิง เพราะอุปทานใหม่ของ Bitcoin จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการได้อีกแล้ว ซึ่งด้วยความไม่สมดุลกันของอุปสงค์และอุปทาน จึงส่งผลให้ราคาของ Bitcoin ถูกผลักดันให้สูงขึ้น

Q: สิ่งใดที่ทำให้ราคาของ Bitcoin ขึ้นลง?
A: ราคาของ Bitcoin ผันผวนจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไร ความพร้อมใช้งาน และครอบคลุมไปถึงสื่อข่าว ด้วยข่าวเชิงลบอาจทำให้เจ้าของ Bitcoin บางคนตื่นตระหนกจึงขายสินทรัพย์ออกไป และส่งผลให้ราคาตกต่ำได้ แต่ในทางกลับกันด้วยข่าวเชิงบวกก็ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีสถาบันลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้เข้าลงทุนกับ Bitcoin และมีบางสถาบันก็อนุญาตให้ใช้ Bitcoin เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งด้วยสิ่งเหล่านี้ต่างล้วนทำให้ราคาของ Bitcoin สูงขึ้นได้อีกด้วย

นอกจากนี้ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากได้ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่นของสกุลเงินดั้งเดิมในประเทศตนเอง และแสวงหาแหล่งอื่นเพื่อเก็บเงินของพวกเขา เนื่องจาก Bitcoin มีการกระจายอำนาจและไม่มีการควบคุม จึงถือเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ก็ทำให้ราคาขยับขึ้นไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ประเภทของประกันรถยนต์

ประกันชั้น 1

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 2+

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 3+

เพิ่มเติม

พ.ร.บ.รถยนต์

เพื่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

วิธีคำนวนเบี้ยประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

ทำอย่างไรให้ได้เบี้ยประกันลดลง

เพิ่มเติม

ประกันที่เหมาะกับมือใหม่

เพิ่มเติม

หลังเกิดอุบัติเหตุรถชน ควรทำอย่างไร

เพิ่มเติม

เมาแล้วขับ

เพิ่มเติม

ไม่เคลม รับส่วนลดเบี้ยประกัน

เพิ่มเติม

รถมีประกันหรือเปล่า

เพิ่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

รถยนต์สำหรับคนขับอายุน้อย

เพิ่มเติม

ต่อประกันรถยนต์อัตโนมัติ

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์สำหรับคนขับอายุน้อย

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์สำหรับผู้ขับขี่มือใหม่

เพิ่มเติม

การแจ้งเคลมประกันรถยนต์หลังเกิดอุบัติเหตุ

เพิ่มเติม