Connect with us

Bitcoin คืออะไร?

คริปโตเคอเรนซีตัวแรกของโลก ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล

Bitcoin คริปโตเคอเรนซีสกุลแรก

Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซีสกุลแรก ที่ถูกสร้างขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2009 โดยมีแนวคิดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ระบุอยู่ในเอกสารที่เรียกว่า White Paper ของผู้สร้างลึกลับที่มีนามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ซึ่งตัวตนของบุคคลหรือผู้สร้างเทคโนโลยีนี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยรายละเอียดใน White Paper ส่วนหนึ่งระบุว่า Bitcoin นำเสนอค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่ากลไกชำระเงินออนไลน์แบบดั้งเดิม และแตกต่างจากสกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาล
โดย Bitcoin ใช้คำย่อว่า BTC เป็นคริปโตเคอเรนซีประเภทหนึ่งไม่มีรูปแบบทางกายภาพที่จับต้องได้ มีเพียงข้อมูลในรูปแบบยอดคงเหลือที่เก็บไว้บนบัญชีแยกประเภทสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างโปร่งใส โดยการทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin ทั้งหมดจะได้รับการยืนยันด้วยพลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงจำนวนมหาศาล ถึงแม้ว่า Bitcoin จะยังไม่ถูกบัญญัติว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกก็ตามที แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Bitcoin เป็นที่นิยมมากและได้มีแรงกระตุ้นให้เกิดเหล่าคริปโตเคอเรนซีอีกนับร้อยสกุลที่เรียกรวม ๆ ว่า “Altcoin” และยังมีคริปโตเคอเรนซีอีกมากมายที่ไม่ใช่ Altcoin ซึ่งรวมแล้วกว่าหมื่นสกุลในปัจจุบัน

จุดเด่น

  • เปิดตัวในปี 2009 เป็นคริปโตเคอเรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าราคาตลาด
  • ใช้ระบบบัญชีแยกประเภทแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) บนเทคโนโลยี Blockchain
  • Bitcoin ได้สร้างแรงบันดาลใจให้มีการกำเนิดคริปโตเคอเรนซีอื่น ๆ อีกมากมาย

ทำความเข้าใจกับ Bitcoin

การทำงานของ Bitcoin นั้นขับเคลื่อนด้วยกลุ่มของคอมพิวเตอร์ (เรียกว่า “โหนด” หรือ “นักขุด”) โดยทั้งหมดนั้นจะทำการรันโค้ดของ Bitcoin และประมวลผลการจัดเก็บบน Blockchain อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในเชิงเปรียบเทียบ Blockchain นั้นถือได้ว่าเป็นชุดของบล็อก โดยในแต่ละบล็อกจะบรรจุรายการธุรกรรม เนื่องด้วยคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ใช้ Blockchain มีชุดของบล็อกและรายการธุรกรรมที่เหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นบล็อกใหม่ที่เต็มไปด้วยธุรกรรมรายการใหม่อย่างโปร่งใส ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถโกงระบบได้อย่างแน่นอน

ทุกคนสามารถมองเห็นรายการธุรกรรมแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในสถานะ “โหนด” ก็ได้ นอกจากนี้หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อรายการธุรกรรมนั้น การที่จะสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้จะต้องใช้พลังประมวลผล หรือใช้โหนดในการดำเนินการกว่า 51% ของจำนวนโหนดทั้งหมด รวมไปถึงต้องทำในเวลาใกล้เคียงกัน โดยโหนดของ Bitcoin มีอยู่ประมาณ 16,000 โหนดด้วยกัน (ณ เดือนกรกฎาคม ปี 2021) และจะมีการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การโจมตีดังกล่าวแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

แต่ถ้าหากมีการโจมตีเกิดขึ้น นักขุด Bitcoin ผู้ที่มีส่วนร่วมบนเครือข่าย Bitcoin ด้วยคอมพิวเตอร์ของพวกเขา จะทำการแยกตัวไปยัง Blockchain ใหม่ทันที ซึ่งทำให้ความพยายามของผู้กระทำผิดนั้นสูญเปล่าและไม่เป็นผลอย่างสิ้นเชิง

จุดเริ่มต้นของ Bitcoin

18 สิงหาคม ปี 2008
ชื่อโดเมน bitcoin.org ได้รับการจดทะเบียน

31 ตุลาคม ปี 2008
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้ประกาศไปยัง Cryptography Mailing บนเว็บไซต์ metzdowd.com ว่า “ฉันกำลังสร้างโปรโตคอลเกี่ยวกับระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ที่มีหลักการทำงานแบบ Peer-to-Peer โดยไร้ซึ่งบุคคลที่สาม และตอนนี้เอกสาร White Paper ได้เผยแพร่ไปยังโดเมน bitcoin.org ในหัวข้อ Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System ” ซึ่งในปัจจุบัน White Paper นั้นได้กลายเป็น Magna Carta หรือกฎบัตรใหญ่ในการทำงานของ Bitcoin

3 มกราคม ปี 2009
บล็อกแรกที่ขุดได้ของ Bitcoin ได้เกิดขึ้นบนโลกดิจิทัล มีชื่อว่า “บล็อก 0” หรือ “บล็อกกำเนิด” และมีข้อความกำกับว่า “The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks,” ซึ่งข้อความนี้อาจเป็นหลักฐานว่าบล็อกถูกขุดขึ้นในหรือหลังวันนั้น หรือบางทีอาจเป็นเพียงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น

8 มกราคม ปี 2009
ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นแรกของ Bitcoin ได้รับการประกาศไปยัง Cryptography Mailing

9 มกราคม ปี 2009
บล็อก 1 ถูกขุด และการขุด Bitcoin เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง

จำนวนที่จำกัดเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อในอนาคต
Bitcoin มีอุปทานสูงสุดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin โดยในปัจจุบันหมุนเวียนอยู่ในระบบแล้วกว่า 18 ล้าน Bitcoin หมายความว่าจะเหลือ Bitcoin ให้ขุดอีกเพียง 3 ล้าน Bitcoin เท่านั้น โดยจากการคำนวณแล้ว Bitcoin จะถูกขุดครบทั้งหมดในปี 2140 หรืออีกกว่า 119 ปีข้างหน้า

“Bitcoin ผู้บุกเบิกโลกสกุลเงินดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก”

Satoshi Nakamoto คือใคร?

ชื่อ Satoshi Nakamoto ปรากฎขึ้นครั้งแรกในปี 2008 พร้อมกับการเปิดตัว White Paper ที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ในโลกการเงินดิจิทัลที่เขาคิดค้นขึ้น โดยมีคริปโตเคอเรนซีที่ใช้ชื่อว่า ‘Bitcoin’ เป็นหัวใจหลักของรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งเขาได้ระบุข้อบ่งชี้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ไว้หลายหัวข้อด้วยกัน

นับจากวันที่เปิดตัว White Paper ในปี 2008 คำว่า Bitcoin ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจในระบบของมัน จนกระทั่งหนึ่งปีให้หลัง Bitcoin ได้เปิดให้ขุดครั้งแรกผ่านโปรโตคอลที่ Satoshi Nakamoto เป็นคนพัฒนาขึ้น นับแต่นั้นมาคำว่า Bitcoin ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวตนของ Satoshi Nakamoto ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ รวมไปถึงมีผู้คนมากมายที่ถูกอ้างว่าเป็นคนในชีวิตจริงที่อยู่เบื้องหลังนามแฝงนี้

โดยมีการกล่าวอ้างถึงบรรพบุรุษของ Bitcoin หรืออย่างน้อยที่สุดก็อาจเป็นเพียงต้นแบบก็ได้ ตัวอย่างเช่น

  • Hashcash ของ Adam Back ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1997
  • B-money ของ Wei Dai
  • BitGold ของ Nick Szabo
  • อัลกอริธึม Reusable Proof of Work ของ Hal Finney

โดยใน White Paper ของ Bitcoin นั้นได้อ้างถึง Hashcash และ B-money รวมไปถึงงานอื่น ๆ อีกมากมายที่ครอบคลุมสาขาการวิจัยที่หลากหลาย จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากบุคคลที่อยู่เบื้องหลังโครงการต่าง ๆ ที่มีชื่อข้างต้นจะได้รับการคาดเดาว่ามีส่วนร่วมในการสร้าง Bitcoin
แรงจูงใจบางประการที่พอจะเป็นไปได้ว่าเหตุใดถึงปกปิดตัวตนผู้สร้าง Bitcoin ไว้เป็นความลับ ประการแรกคือความเป็นส่วนตัว หาก Bitcoin ได้รับความนิยมและกลายเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกนั้น อาจส่งผลให้ Satoshi Nakamoto กลายเป็นที่จับตามองจากสื่อและรัฐบาลเป็นอย่างมาก ส่วนอีกประการคือเรื่องศักยภาพของ Bitcoin ที่จะทำให้เกิดการหยุดชะงักของระบบธนาคารและการเงินในปัจจุบัน หาก Bitcoin ถูกนำไปใช้เป็นจำนวนมากและทำให้ระบบของมัรอาจแซงหน้าสกุลเงินดั้งเดิมที่มีอำนาจอธิปไตยของประเทศควบคุมอยู่ก็เป็นได้ ด้วยเหตุดังกล่าวอาจหมายถึงภัยคุกคามต่อสกุลเงินดั้งเดิมที่ใช้อยู่ รวมไปถึงอาจกระตุ้นให้รัฐบาลต้องการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้สร้าง Bitcoin ก็เป็นไปได้

ส่วนเหตุผลอื่นคือเรื่องความปลอดภัย หากดูในปี 2009 เพียงอย่างเดียว บล็อกจำนวน 32,489 บล็อกได้ถูกขุดขึ้นและมีอัตรารางวัล 50 Bitcoin/บล็อก และการแจกจ่าย Bitcoin ทั้งหมดในปี 2009 อยู่ที่ 1,624,500 Bitcoin ซึ่งบางคนอาจสรุปได้ว่ามีเพียง Satoshi หรืออาจมีคนอื่นอีกสองสามคนที่ทำการขุดจนถึงปลายปี 2009 และพวกเขาอาจครอบครอง Bitcoin ส่วนใหญ่ไว้กับตัวเองอยู่จนถึงปัจจุบัน
โดยหากเป็นความจริงว่าผู้สร้างนั้นครอบครอง Bitcoin จำนวนมากไว้ก็อาจกลายเป็นเป้าหมายของอาชญากรได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก Bitcoin นั้นไม่เหมือนหุ้นและเงินสดที่มีกฎหมายต่าง ๆ มารองรับ รวมไปถึงมีหน่วยงานกำกับดูแลอยู่ จึงทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ Satoshi ก็เป็นได้

Bitcoin หน่วยสุดท้ายจะถูกขุดขึ้นในปี 2140 ซึ่งอีกกว่า 119 ปีนับจากนี้

Bitcoin ทำงานอย่างไร?

Blockchain
ในกรณีของ Bitcoin นั้นข้อมูลบน Blockchain ส่วนใหญ่จะเป็นรายการธุรกรรม ดังนั้น Blockchain จึงเปรียบเสมือนระบบหลังบ้านที่สำคัญของ Bitcoin และสามารถเปิดเผยรายการธุรกรรมเป็นสาธารณะ ให้ทำการตรวจสอบย้อนหลังได้ ตรวจสอบแบบเรียลไทม์ได้ แต่ไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ ได้

เทคโนโลยี Peer-to-Peer
Bitcoin เป็นคริปโตเคอเรนซีสกุลแรกที่ใช้เทคโนโลยี Peer-to-Peer เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินแบบทันที และมีนักขุด (Miner) รับผิดชอบในการประมวลผลธุรกรรมบน Blockchain นอกจากนี้นักขุดจะได้รับรางวัล (การเกิด Bitcoin ในบล็อกใหม่) และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่จ่ายผ่าน Bitcoin

การขุด Bitcoin
กระบวนการที่รักษาความน่าเชื่อถือของบัญชีแยกประเภทสาธารณะก็คงจะเป็นการทำเหมือง หรือการขุด Bitcoin นั่นเอง ซึ่งเหล่านักขุดก็คือเครือข่ายของผู้ใช้ Bitcoin ที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซีกันเอง หากพูดถึงการบันทึกธุรกรรมจำนวนมากถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่สำหรับกระบวนการขุดนั้นยังถือว่ายากมากอยู่ เพราะซอฟต์แวร์ของ Bitcoin ทำให้กระบวนการนี้ใช้เวลานานเกินจริงและใช้เวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการปลอมแปลงธุรกรรมหรือการทำให้ผู้อื่นล้มละลายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเพราะโปรโตคอลที่วางไว้ให้มีค่าความยากสูงขึ้น

Proof of Work (PoW)
การรวมอัลกอริธึม PoW เข้ากับเทคนิคการเข้ารหัสอื่น ๆ เป็นหนึ่งในเทคนิคของซอฟต์แวร์ที่ Satoshi สร้างขึ้นเพื่อจะปรับความยากที่นักขุดต้องเผชิญ โดยจำกัดเครือข่ายให้บล็อกธุรกรรมขนาด 1 เมกะไบต์เกิดใหม่ทุก ๆ 10 นาที ด้วยวิธีนี้ปริมาณของรายการธุรกรรมจะถูกย่อยได้ และเครือข่าย Blockchain จะมีเวลาตรวจสอบรายการธุรกรรมใหม่ก่อนจะส่งไปยังนักขุด

การ Halving
ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ผู้ขุดจะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin ที่เกิดขึ้นในบล็อกใหม่หลังจากตรวจสอบบล็อกของธุรกรรม ซึ่งรางวัลนี้จะถูกลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 210,000 บล็อกที่ขุดได้ หรือทุก ๆ 4 ปี โดยเหตุการณ์นี้จะเรียกว่า Halving หรือ Halvening ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะกำหนดให้มีอัตราการปล่อย Bitcoin ใหม่ออกสู่ระบบหลังจากมีการ Halving นอกจากนี้ระบบนี้ช่วยเพิ่มอัตราส่วนสต็อกต่อการไหลของ Bitcoin ซึ่งการ Halving ครั้งที่สามเกิดขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม ปี 2020 โดยรางวัลสำหรับแต่ละบล็อกที่ขุดได้ตอนนี้คือ 6.25 Bitcoin

Hashing
Hashing หรือการแฮชชิง ซึ่งเป็นการเรียกใช้ข้อมูลผ่านอัลกอริธึมการเข้ารหัสที่สร้างเป็นสตริงตัวเลขและตัวอักษร เพื่อเป็นการแก้สมการทางคณิตศาสตร์สำหรับการขุด Bitcoin โดยอันดับแรกจะทำการสุ่มเลขที่เรียกว่านอนซ์ (Nonce) ออกมาหนึ่งชุดและนำไปต่อแนบกับข้อมูลของทั้งบล็อก จากนั้นก็นำบล็อกที่มีนอนซ์มาทำการแฮชชิง เพื่อให้ได้แฮชที่มีเลขศูนย์ (กลุ่มตัวเลขผสมตัวอักษร) ตรงตามเป้าหมายของ Difficulty Target

Difficulty Target
เป้าหมายค่าความยากในการขุดที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จะขึ้นอยู่กับการรับส่งข้อมูลที่เครือข่ายได้รับคำสั่งว่า โปรโตคอลของ Bitcoin จะต้องใช้สตริงเลขศูนย์ที่ยาวขึ้นหรือสั้นลง โดยจะปรับความยากเพื่อให้ได้อัตราบล็อกใหม่ทุก ๆ 10 นาที โดย ณ เดือนกรกฎาคม ปี 2021 ดังที่แสดงให้เห็นในภาพ การขุด Bitcoin นั้นมีค่าความยากสูงสุดเกิน 25 ล้านล้านคะแนน เพิ่มขึ้นจาก 1 คะแนน ในปี 2009 จะเห็นได้ว่าการขุดนั้นมีความยากขึ้นมากนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่แล้ว

การทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin
โดยเหล่า Exchange จะรวบรวมผู้เข้าร่วมจากตลาดทั่วโลกเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนเหล่าคริปโตเคอเรนซีต่าง ๆ ซึ่งนับวันจะยิ่งมีความนิยมมากขึ้นเพราะอิทธิพลจากความนิยมของ Bitcoin เติบโตขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความท้าทายด้านข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงได้

Key และ Wallet
แน่นอนว่านักเทรดและเจ้าของ Bitcoin ต่างก็ต้องการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องการถือครองสินทรัพย์ของพวกเขา ซึ่งการใช้ Key และ Wallet ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก โดย Key หรือกุญแจนั้นจะมีทั้งกุญแจสาธารณะ (Public-key) ที่เปรียบเสมือนชื่อผู้ใช้ (User) และกุญแจส่วนตัว (Private-key) ที่เปรียบเสมือนรหัสผ่าน (Password) ซึ่งในการที่จะเข้าถึง Bitcoin ของคุณได้นั้นจะต้องมี Wallet ที่จะเปิดใช้ได้ด้วย Key ทั้งสองประเภท นอกจากนี้คุณสามารถเลือกประเภทของ Wallet ตามระดับความปลอดภัยที่คุณต้องการด้วยตนเองได้อีกด้วย

คำถามที่พบบ่อย FAQ: Bitcoin

Q: ใครเป็นผู้ควบคุมเครือข่าย Bitcoin?
A: ไม่มีใครเป็นเจ้าของเครือข่าย Bitcoin แบบเบ็ดเสร็จ เครือข่ายของมันถูกควบคุมโดยผู้ใช้งานทั่วโลก แม้แต่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Bitcoin เองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรโตคอล Bitcoin ได้ เนื่องจากการทำงานทุกอย่างเป็นไปตามกลไกฉันทามติที่ผู้ใช้และนักพัฒนาทุกคนมีร่วมกัน

Q: ผู้คนใช้งาน Bitcoin จริงหรือไม่?
A: ปัจจุบันมีทั้งกลุ่มธุรกิจและบุคคลทั่วไปจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ใช้ Bitcoin เป็นวิธีการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง ตลอดจนบริการออนไลน์ต่าง ๆ

Q: ทำไมผู้คนถึงเชื่อใจใน Bitcoin?
A: ความจริงแล้ว Bitcoin ไม่ได้ต้องการความไว้วางใจเลย เนื่องด้วยมันมีตัวตนอยู่บนระบบ Open Source อย่างสมบูรณ์ ที่รวมไปถึงการทำงานแบบกระจายอำนาจ ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถเข้าถึง Source Code ทั้งหมดได้ตลอดเวลา เป็นระบบการทำงานที่โปร่งใสและปลอดภัยอยู่เสมอไม่ว่าผู้ใช้ทั้งหมดจะเชื่อใจหรือไม่ก็ตาม

Q:มูลค่าของ Bitcoin เกิดจากอะไร?
A: Bitcoin มีมูลค่าเพราะการมีประโยชน์ในรูปแบบของเงิน ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้เหมือนเงินจริง แต่ลักษณะการใช้งานได้จริงของมันก็แทบไม่มีความแตกต่างใด ๆ (พกพาสะดวก, ใช้งานได้จริง, มีการป้องกันภาวะเงินเฟ้อ, แบ่งแยกมูลค่าได้ และเป็นที่ยอมรับ) โดยตัวกำหนดราคาของ Bitcoin นั้นมาจากอุปสงค์อุปทานในระบบนิเวศของตลาด

Q: จำนวน Bitcoin ที่จำกัดถือเป็นข้อเสียหรือไม่?
A: Bitcoin มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ถูกสร้างขึ้นเพียง 21 ล้าน Bitcoin อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่มีวันเป็นข้อเสียได้ เนื่องจากสามารถกำหนดปริมาณในธุรกรรมเป็นหน่วยย่อยที่เล็กกว่า Bitcoin เช่น หน่วย Bit ที่มี 1 ล้าน Bit ต่อ 1 Bitcoin หรือสามารถแบ่งได้เป็นทศนิยม 8 ตำแหน่ง (0.00000001) จะเรียกว่าหน่วย Satoshi ก็ได้เช่นเดียวกัน

Q: การขุด Bitcoin สิ้นเปลืองพลังงานหรือไม่?
A: ในปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการของคริปโตเคอเรนซี เนื่องจากมีความกังวลมากมายเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรไปกับการขุด Bitcoin แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ได้มีการปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นด้วยการใช้งานฮาร์ดแวร์เฉพาะ ที่ใช้พลังงานน้อยลงโดยเน้นไปที่การใช้งานพลังงานหมุนเวียนเข้ามาแทน และค่าใช้จ่ายในการขุดยังคงเป็นสัดส่วนต่อความต้องการในอุตสาหกรรมขุด

ประเภทของประกันรถยนต์

ประกันชั้น 1

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 2+

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 3+

เพิ่มเติม

พ.ร.บ.รถยนต์

เพื่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

วิธีคำนวนเบี้ยประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

ทำอย่างไรให้ได้เบี้ยประกันลดลง

เพิ่มเติม

ประกันที่เหมาะกับมือใหม่

เพิ่มเติม

หลังเกิดอุบัติเหตุรถชน ควรทำอย่างไร

เพิ่มเติม

เมาแล้วขับ

เพิ่มเติม

ไม่เคลม รับส่วนลดเบี้ยประกัน

เพิ่มเติม

รถมีประกันหรือเปล่า

เพิ่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

ประกันรถยนต์ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ

เพิ่มเติม

บริการรถใช้ระหว่างซ่อม

เพิ่มเติม

เทคนิคลดเบี้ยประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

วิธีเคลมค่ารักษาพยาบาลกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

ซื้อประกันรถยนต์ไม่ต้องวางเงินมัดจำ

เพิ่มเติม