Connect with us

Bitcoin vs Bitcoin Cash: แตกต่างกันอย่างไร?

ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดการแยกสาย Blockchain ออกมาเป็นคริปโตสกุลใหม่

ภาพรวม

นับตั้งแต่ Bitcoin ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกดิจิทัล ก็ได้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความสามารถของ Bitcoin ในการขยายตัวบล็อกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin นั้นจะได้รับการประมวลผล ตรวจสอบ และจัดเก็บในบัญชีแยกประเภทสาธารณะที่เรียกกันว่า “Blockchain” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาปฏิวัติวงการบันทึกธุรกรรมทางการเงินเลยก็ว่าได้ ด้วยหลักการทำงานที่ระบุอย่างชัดเจนว่าข้อกำหนดต่าง ๆ ในการประมวลผลธุรกรรมนั้น จะถูกดำเนินการโดยเครือข่ายขนาดใหญ่ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ทั่วโลก

ปัญหาหลักของเทคโนโลยี Blockchain ที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายของ Bitcoin นั้นคือมันดำเนินการช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับการทำธุรกรรมกับธนาคารผ่านบัตรเครดิต ตัวอย่างเช่น บริษัทบัตรเครดิตยอดนิยม Visa, Inc. ที่สามารถดำเนินการเกือบ 150 ล้านธุรกรรมต่อวัน หรือเฉลี่ยประมาณ 1,700 ธุรกรรมต่อวินาที แต่ความจริงนั้นบริษัทนั้นมีลิมิตสูงสุดอยู่ที่ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาทีเลยทีเดียว

ในขณะที่เครือข่าย Bitcoin สามารถประมวลผลธุรกรรมโดยเฉลี่ยแล้วเพียง 7 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น โดยในความเป็นจริงรายการธุรกรรมของมันอาจใช้เวลาหลายนาที หรือมากกว่านั้นในการประมวลผล เนื่องจากผู้ใช้งาน Bitcoin นับวันก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในบางครั้งก็ทำให้มีเวลารอคอยนานมากขึ้น เพราะมีธุรกรรมที่ต้องดำเนินการเป็นจำนวนมากเกินไป แต่ในทางกลับกันก็ไม่ได้มีการปรับปรุงหรือพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐาน ในการรับภาระตรงนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย

ด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเครือข่ายของ Bitcoin ที่มีปัญหาหลักในการขยายตัวบล็อกและเพิ่มความเร็วของกระบวนการตรวจสอบธุรกรรม จึงเป็นเหตุให้นักพัฒนาและนักขุด Bitcoin ได้ร่วมกันเสนอวิธีแก้ไขปัญหาหลัก 2 ประการด้วยกัน ได้แก่

  • ประการแรก: เกี่ยวข้องกับการทำให้จำนวนข้อมูลที่จำเป็นต้องตรวจสอบในแต่ละบล็อกมีขนาดเล็กลง ดังนั้นจึงส่งผลให้กระบวนการตรวจสอบธุรกรรมนั้นเร็วขึ้นและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า
  • ประการที่สอง: มีความต้องการทำให้บล็อกมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมากและสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้นในคราวเดียว

และด้วยข้อเสนอ 2 ประการข้างต้นนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “Bitcoin Cash (BCH)” ที่ถูกพัฒนามาจากโซลูชั่นดังกล่าว โดยข้อมูลต่อไปนี้เราจะมาดูกันว่า Bitcoin และ Bitcoin Cash มีความแตกต่างกันอย่างไร

จุดเด่น

  • Bitcoin Cash มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มนักขุดและนักพัฒนา Bitcoin ที่มีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของ Bitcoin
  • Bitcoin ถูกจำกัดประสิทธิภาพด้วยเวลาในการประมวลผล ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างกลุ่มต่าง ๆ
  • ขนาดบล็อกของ Bitcoin จะถูกจำกัดที่ 1 MB แต่ในขณะที่ขนาดบล็อกของ Bitcoin Cash นั้นจะมีขนาดสูงสุดถึง 32 MB ด้วยกัน

เกิดอะไรขึ้นกับ Bitcoin

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2017 กลุ่มการขุดและบริษัทต่าง ๆ ที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% – 90% ของพลังประมวลผลบนเครือข่าย Bitcoin ได้ทำการลงมติให้มีการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “SegWit” หรือการตัดพยานออก (Segregated Witness) โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้จำนวนข้อมูลที่จำเป็นต้องตรวจสอบในแต่ละบล็อกนั้นมีขนาดที่เล็กลง ด้วยการลบข้อมูลที่เป็น Signature Data ซึ่งมันกินพื้นที่ของบล็อกไปกว่า 65% โดยไม่จำเป็น หากลบข้อมูลตรงนี้ออกไปก็จะช่วยในแง่ของการปรับปรุงความยืดหยุ่นภายในบล็อกของ Bitcoin ได้ ดังนั้นสิ่งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีนัยสำคัญ

หลังจากสรุปผลโหวตในการทำ SegWit แล้ว จึงส่งผลให้ในปี 2017 และ 2018 ขนาดบล็อกของ Bitcoin ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 1 MB ไปเป็น 2 MB และในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ขนาดบล็อกโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.305 MB แต่อย่างไรก็ตามภายในเดือนมกราคม ปี 2020 ขนาดบล็อกได้ลดลงกลับไปเป็น 1 MB เท่าเดิม

ในท้ายที่สุดหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ได้มีงานวิจัยที่เผยแพร่จากแพลตฟอร์ม BitMex ที่กล่าวว่า สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการใช้งาน SegWit นั้นช่วยเพิ่มขนาดบล็อกได้จริง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ SegWit ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และท่ามกลางกระแสตอบรับในทางที่ดีจึงมีข้อเสนอขึ้นมาอีกว่า ให้เพิ่มขนาดบล็อกเป็น 2 เท่า ด้วยการใช้เทคโนโลยีเวอร์ชันใหม่ที่ชื่อว่า “SegWit2x”

จุดเริ่มต้นของ Bitcoin Cash

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า Bitcoin Cash มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มนักขุดและนักพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ที่มีความกังวลกับอนาคตของ Bitcoin ในฐานะของคริปโต และรวมไปถึงความสามารถในการขยายตัวบล็อกอีกด้วย อย่างไรก็ตามบุคคลเหล่านี้มีข้อกังขาเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี SegWit และ SegWit2x เข้ามาใช้ โดยพวกเข้ารู้สึกเหมือนกับว่าเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาพื้นฐาน ในแง่ของความสามารถในการขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย และอีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนงานขั้นต้นที่ระบุไว้ใน White Paper ของ Satoshi Nakamoto อีกด้วย

นอกจากนี้ข้อเสนอที่ต้องการนำ SegWit2x เข้ามาใช้แก้ปัญหานั้นกลับดูไม่โปร่งใส และมีความกังวลว่าข้อเสนอดังกล่าวจะบ่อนทำลายการกระจายอำนาจ รวมไปถึงความเป็นประชาธิปไตยของสกุลเงินอีกด้วย และด้วยเหตุนี้ทำให้ในเดือนสิงหาคม ปี 2017 นักขุดและนักพัฒนาบางส่วนได้เริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่า “Hard Fork” ซึ่งเป็นการแยกตัวสกุลเงินใหม่ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพคือ “Bitcoin Cash (BCH)”

Bitcoin Cash มีเครือข่าย Blockchain และข้อกำหนดเฉพาะของตัวเอง ซึ่งรวมไปถึงความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งจาก Bitcoin คือการขยายขนาดบล็อกได้อย่างยืดหยุ่น โดย Bitcoin Cash ได้ใช้ขนาดบล็อกที่เพิ่มขึ้นถึง 8 MB เพื่อเร่งกระบวนการตรวจสอบ พร้อมด้วยความสามารถในการปรับค่า Difficulty ในการขุดได้ เพื่อให้แน่ใจว่าสายโซ่ใหม่ที่แยกตัวออกมานี้จะมีอายุยืนกว่าสายโซ่เดิม และยังรวมไปถึงการเพิ่มขีดจำกัดความเร็ว ในการยืนยันธุรกรรมโดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนนักขุดที่อยู่บนเครือข่ายอีกด้วย ซึ่งในปี 2018 ที่ผ่านมานี้ความสามารถในการขยายขนาดบล็อกสูงสุดของ Bitcoin Cash ได้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า โดยมีขนาดสูงสุดถึง 32 MB แต่สำหรับค่าเฉลี่ยของขนาดบล็อกที่ใช้บนเครือข่ายในขณะนี้ก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของขีดจำกัดเท่านั้น (8 MB จาก 32 MB)

Bitcoin Cash นั้นสามารถประมวลผลธุรกรรมได้เร็วกว่าเครือข่ายของ Bitcoin ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาในการรอคอยจะสั้นลง และค่าธรรมเนียมในการดำเนินการธุรกรรมก็จะต่ำลงด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากเครือข่ายสามารถจัดการธุรกรรมต่อวินาทีได้มากกว่าเครือข่ายเดิม แต่อย่างไรก็ตามด้วยเวลาการตรวจสอบธุรกรรมที่เร็วขึ้นนี้ก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน โดยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับขนาดบล็อกที่ใหญ่กว่าคือเรื่องความปลอดภัย ที่มีโอกาสถูกบุกรุกได้มากกว่าเครือข่ายของ Bitcoin และปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง ยังรวมไปถึงความสามารถในการใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นก็ยังไม่สามารถสู้สายโซ่เดิมอย่าง Bitcoin ได้เลย

ย้อนกลับไปที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหัวข้อแรกที่ได้กล่าวถึงนั้น ก็ยังมีการดำเนินการ Hard Fork ที่นอกเหนือไปจากตัว Bitcoin Cash อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 บุคคลบางกลุ่มบนเครือข่ายของ Bitcoin Cash ที่ได้มีประสบการณ์ในการแยกตัวสายโซ่ เพื่อการสร้างเหรียญใหม่ออกมาจากเหรียญเดิม ก็ได้ทำการเริ่มต้นการแยกตัวของสายโซ่ใหม่อีกสายหนึ่งที่เรียกว่า “Bitcoin SV (BSV)” อีกด้วย

Bitcoin SV ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยความพยายามที่จะรักษาวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Bitcoin ที่ Satoshi Nakamoto ได้อธิบายไว้ใน White Paper แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานบางส่วน เพื่ออำนวยความสะดวกในการขยายตัวบล็อก และความเร็วในการทำธุรกรรมให้มากขึ้นกว่าสายโซ่เดิมด้วยเช่นเดียวกัน

“Bitcoin Cash ถูกแยกออกมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ Bitcoin”

ประเภทของประกันรถยนต์

ประกันชั้น 1

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 2+

เพิ่มเติม

ประกันชั้น 3+

เพิ่มเติม

พ.ร.บ.รถยนต์

เพื่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

วิธีคำนวนเบี้ยประกันรถยนต์

เพิ่มเติม

ทำอย่างไรให้ได้เบี้ยประกันลดลง

เพิ่มเติม

ประกันที่เหมาะกับมือใหม่

เพิ่มเติม

หลังเกิดอุบัติเหตุรถชน ควรทำอย่างไร

เพิ่มเติม

เมาแล้วขับ

เพิ่มเติม

ไม่เคลม รับส่วนลดเบี้ยประกัน

เพิ่มเติม

รถมีประกันหรือเปล่า

เพิ่มเติม

ทิปดีๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์

ประกันรถยนต์ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ

เพิ่มเติม

นำรถไปใช้ลากจูงประกันคุ้มครองไหม

เพิ่มเติม

ประกันรถยนต์ครบวงจร

เพิ่มเติม

คาร์ซีทกับประกันรถยนต์

เพิ่มเติม