เครดิตบูโรคืออะไร
คำว่า “เครดิตบูโร” เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ แต่รู้หรือไม่ว่ามาจากอะไร Tadoo ได้หาความหมายมาให้แล้ว ค้นหาข้อเสนอดี ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
คำว่า “เครดิตบูโร” เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ แต่รู้หรือไม่ว่ามาจากอะไร Tadoo ได้หาความหมายมาให้แล้ว ค้นหาข้อเสนอดี ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
เครดิตบูโร นั้นมาจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau) คือองค์กรทำหน้าที่เพียงเก็บบันทึกข้อมูลทางการเงินจากการทำธุรกรรมทั้งหมดของประชาชนและบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงสำหรับการปล่อยสินเชื่อ รวมไปถึงการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนและบริษัทนั้น ๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยเก็บบันทึกประวัติตั้งแต่งวดล่าสุดย้อนหลังไป 3 ปี ข้อมูลที่เครดิตบูโรเก็บไว้นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล อาชีพ ที่อยู่ สถานภาพการสมรส
2. ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ บัตรเครดิต รวมถึงประวัติการชำระหนี้
ข้อมูลที่บันทึกอยู่ในระบบเครดิตบูโรนั้น จะแสดงเป็นสถานะบัญชีซึ่งเป็นของช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งมีตัวเลขกำกับ และตัวเลขสถานะเหล่านี้มีความหมายแตกต่างกัน Tadoo ได้นำตัวเลขที่คุณควรรู้ในเครดิตบูโรมาฝาก มาดูกันว่าแต่ละตัวเลขมีความแตกต่างกันอย่างไร
– เลข 10 -คือ ปกติ แปลว่า บัญชีนี้มีการชำระหนี้ตามปกติ จ่ายตรงตามเงื่อนไข และไม่มียอดค้างชำระไม่เกิน 30 วัน
– เลข 11 คือ ปิดบัญชี แปลว่า บัญชีนี้ได้มีการปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ไม่มีหนี้ค้าง
– เลข 20 คือ สถานะมีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน
– เลข 40 คือ สถานะอยู่ระหว่างชำระสินเชื่อ เพื่อปิดบัญชี
– เลข 42 คือ สถานะโอนหรือขายหนี้
– เลข 43 คือ สถานะปิดบัญชีขณะโอนหรือขายหนี้
แม้จะติดเครดิตบูโร แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะคุณยังมีโอกาสที่จะสมัครบัตรเครดิตได้ ทั้งนี้ การอนุมัติขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร เพื่อสินเชื่อให้กับคุณอีกครั้งโดยสามารถเช็คประวัติได้จากข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งแต่ละธนาคารก็มีเงื่อนไขในการพิจารณาแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามคุณสามารถยื่นสมัครบัตรเครดิตได้หลายธนาคาร ถึงแม้ว่าจะสมัครกับธนาคารแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะสมัครกับธนาคารอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน
“เครดิตบูโร คือข้อมูลที่แสดงถึงสถานะหนี้ของเราในระบบ”
ในความเป็นจริงนั้น คำว่า “ติดแบล็กลิสต์” เป็นเพียงข้ออ้างของบริษัททวงหนี้ที่เอาไว้ใช้หลอกลูกหนี้ เพื่อใช้ขู่ลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ให้หวาดกลัว ว่าถ้าหากติดแบล็กลิสต์หรือติดเครดิตบูโรแล้ว จะไม่สามารถทำธุรกรรมหรือกู้สินเชื่อใด ๆ ได้อีกตลอดชีวิต ซึ่งในปัจจุบันนี้มีพระราชบัญญัติทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ได้กำหนดเอาไว้ว่า “ห้ามทวงหนี้แบบหลอกลวงให้เข้าใจผิด” การทวงหนี้โดยขู่ลูกหนี้ว่าจะต้องติดแบล็กลิสต์นั้นเป็นความผิด โดยมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
– เป็นสิ่งที่คนถูกหลอกให้เข้าใจผิดมานานจากเหล่าบริษัททวงหนี้
– ปัจจุบันนี้มีพระราชบัญญัติทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ได้กำหนดเอาไว้ว่า “ห้ามทวงหนี้แบบหลอกลวงให้เข้าใจผิด”
– ถ้ามีการข่มขู่ลูกหนี้ว่าจะต้องติดแบล็กลิสต์หรือติดเครดิตบูโร ถือว่ามีความผิดมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ไม่ต้องกลัวคำว่า “ติดแบล็กลิสต์” คุณสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อีกครั้งเมื่อคุณชำระหนี้หมดแล้ว
คุณสามารถสมัครบัตรเครดิตได้ถึงแม้จะติดบูโรอยู่ก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต เพื่อสินเชื่อให้กับคุณอีกครั้งโดยเสามารถเช็คประวัติได้จากข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งแต่ละธนาคารก็มีเงื่อนไขในการพิจารณาแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามคุณสามารถยื่นสมัครบัตรเครดิตได้หลายธนาคาร ถึงแม้ว่าจะสมัครกับธนาคารแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะสมัครกับธนาคารอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าคุณจะมีประวัติในเครดิตบูโรก็ตาม แต่ว่าเครดิตบูโรก็จะเก็บข้อมูลเพียง 3 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นคุณก็จะไม่มีประวัติในเครดิตบูโร ดังนั้นถ้าคุณเคยมีประวัติเครดิตไม่ดี เช่น เคยผิดนัดชำระ หรือมีหนี้ค้างชำระ คุณก็สามารถแก้ไขให้ประวัติเครดิตของคุณดีขึ้นได้ด้วยการเริ่มสร้างประวัติใหม่ขึ้นมาได้ เพราะถ้าคุณมีประวัติบูโรที่ดีและชำระหนี้ให้หมด ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างเครดิตที่ดีขึ้นต่อไปในอนาคต