สหรัฐอเมริกา (United States of America) เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยมลรัฐ 50 มลรัฐ ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนต่อกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับประเทศแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของโลก และเป็นมหาอำนาจของโลกในยุคปัจจุบันทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงในด้าน กีฬา การศึกษา งานวิจัย และภาพยนตร์ ซึ่งก่อนไปเที่ยวอเมริกามีข้อควรรู้ ดังนี้
-คนไทยจะไปเที่ยวอเมริกาต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวก่อนการเดินทาง
-อเมริกาใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงิน 1 USD มีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 31.51 THB *ผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจ
-ฤดูกาลของอเมริกามี 4 ฤดู
ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม – พฤษภาคม
ฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน – พฤศจิกายน
ฤดูหนาว ธันวาคม – กุมภาพันธ์
-เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ทำให้มีเขตเวลา(Time Zone) คร่าวๆ 4 แบบ คือ เวลาช้ากว่าไทย 11, 12, 13, และ 14 ชั่วโมง
-ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย
-อเมริกาใช้กระแสไฟฟ้าขนาด 110 โวลต์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามีขาเสียบเหมือนของไทย
-ประกันการเดินทาง อย่ามองว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมา ประกันนี้จะเป็นตัวช่วยเราได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของความช่วยเหลือ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาด้วย โดยประกันการเดินทางเริ่มต้นเพียงหลักร้อยเท่านั้น ซื้อออนไลน์ล่วงหน้าได้สะดวก
ประกันเดินทางไปต่างประเทศนั้น คุณสามารถเลือกได้ 2 รูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่คุณเดินทางไปประเทศนั้น
เป็นการจ่ายเบี้ยประกันสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศต่อครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เดินทาง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ
เป็นหลักประกันให้คุณขณะเดินทางท่องเที่ยวเมืองนอก ครอบคลุมเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างเดินทาง ยกเลิกเที่ยวบิน กระเป๋าเดินทางมาถึงล่าช้า เพื่อให้ทริปของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด
เราคือเว็บไซต์ตัวกลางที่มีแผนประกันภัยที่ครอบคลุมทุกการเดินทาง พร้อมให้บริการช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินทั่วโลก ให้ความคุ้มครองทั้งก่อนและหลังการเดินทางในแผนประกันที่คุณสามารถเลือกเองได้
อย่างที่เกริ่นไปเบื้องต้นว่าคนไทยจะไปเที่ยวอเมริกาต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าการท่องเที่ยวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนการเดินทาง ซึ่งวีซ่าแบ่งตามวัตถุประสงค์การเดินทางได้ 3 ประเภทหลัก ดังนี้
-วีซ่าสำหรับท่องเที่ยว-เยี่ยมเยียน (B-2 Tourist Visa)
-วีซ่าสำหรับนักเรียนอเมริกา และนักเรียนแลกเปลี่ยน (F-1 Student Visa)
-วีซ่าทางธุรกิจในอเมริกา (B-1 Business Visa)
โดยขั้นตอนการขอวีซ่าอเมริกาด้วยตัวเอง มีด้วยกัน 3 ขั้นตอนหลักดังนี้
-กรอกคำร้องขอวีซ่าชั่วคราวในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือเว็บไซต์ Online Nonimmigrant Visa Application (DS-160) แล้วทำตามขั้นตอนตามที่เว็บไซต์ระบุไว้ เมื่อกรอกข้อมูลครบก็จะเป็นขั้นตอนการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าอเมริกา ราคา 160 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 5,440 บาท) ค่าธรรมเนียมนี้ขอคืนไม่ได้ ไม่ว่าวีซ่านั้นจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ก็ตาม
-การกรอกแบบฟอร์มยื่นคำร้องขอวีซ่าอเมริกาขั้นตอนนี้ให้ผู้ขอวีซ่าเข้าไปที่เว็บไซต์ APPLY FOR A U.S. VISA เพื่อกรอกแบบฟอร์มยื่นคำร้อง และนัดหมายวันเข้าสัมภาษณ์ (จะต้องชำระค่าธรรมเนียมก่อน ถึงจะทำการนัดหมายวันได้) โดยผู้ขอวีซ่ามีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงวันนัดหมายได้ไม่เกิน 3 ครั้ง และถ้าหากไม่สามารถมาสัมภาษณ์ ได้ตามวันเวลาที่นัดหมายก็ไม่สามารถขอคืนเงินได้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมเอกสารสำหรับการไปสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูต หรือสถานกงสุลอเมริกา
เอกสารที่ต้องใช้ในการสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา
-หนังสือเดินทาง(Passport) ที่ใช้สำหรับเดินทางไปสหรัฐอเมริกา(หนังสือเดินทางต้องมีอายุเหลือมากกว่าระยะเวลาที่ผู้ขอวีซ่าตั้งใจจะไปอย่างน้อย 6 เดือน)
-แบบฟอร์มขอวีซ่าชั่วคราว (DS-160) ที่กรอกสำเร็จแล้วในข้อ 1
-รูปถ่ายสีขนาด 5 x 5 เซนติเมตร 1 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
-ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่าตัวจริง (จะต้องชำระที่ไปรษณีย์ไทยล่วงหน้าก่อน)
-ใบยืนยันนัดสัมภาษณ์
-รายการบัญชีย้อนหลัง (Statement)
-ใบรับรองการทำงาน
-เอกสารจองตั๋วเครื่องบินทั้งไปและกลับ
-เอกสารการจองที่พัก
-ประกันการเดินทาง
การสัมภาษณ์เพื่อยื่นขอวีซ่าที่สถานทูต หรือสถานกงสุลอเมริกา ผู้ยื่นขอวีซ่าต้องเดินทางไปตามวันและเวลาที่ได้ทำการนัดหมายสัมภาษณ์ไว้ โดยควรไปก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รอคิวเรียกเพื่อสัมภาษณ์และยื่นเอกสาร โดยเจ้าหน้าที่กงสุลซึ่งเป็นชาวอเมริกันจะสัมภาษณ์ประมาณ 5-10 นาที ถ้าวีซ่าของบุคคลใดผ่าน ทางการกงสุลก็จะแจ้ง ณ ตอนนั้นเลยว่า “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน”
14,782 รีวิว
เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ สำหรับจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวนิยมไปประกอบด้วย 5 มลรัฐ/เมืองต่อไปนี้
นิวยอร์ก (New York) นิวยอร์กเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าและร้านรวงต่างๆ มากมาย ให้ได้เลือกชอปในหลากหลายระดับราคา เหมาะกับสายแฟชั่นนิสต้า อยากเดินชิคๆ อยู่ในศูนย์กลางแฟชั่น การไปถ่ายรูปที่จัตุรัส Time Square กับเทพีเสรีภาพ และไปดูละครบรอดเวย์
ลาสเวกัส (Las Vegas) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย เต็มไปด้วยแสงสีและกาสิโนรวมถึงโรงแรมสุดหรู เช่น สตราโตสเฟียร์ ทาวเวอร์ (Stratosphere Tower) ที่เป็นทั้งโรงแรม กาสิโน และหอคอย ที่นอกจากจะได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดร้านอาหาร และสถานที่โรแมนติกด้วยวิวที่สวยที่สุดในปี 2018 ยังมีกิจกรรมให้ได้สนุกกันกับการกระโดดสกายจัมพ์ และเครื่องเล่นต่างๆ หรือจะไปชมกายกรรมผาดโผน แสงสีเสียงตระการตาที่ เซิร์ค ดู โซเลย์ (Cirque du Soleil)
ฟลอริดา (Florida) เหมาะกับคนชอบเที่ยวสวนสนุก ในเมือง Orlando มลรัฐฟลอริด้า มีสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) สวนสัตว์น้ำซีเวิลด์ (Sea World) และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การเที่ยวสวนสนุกแบบเต็มอิ่มเหมือนอยู่ในดินแดนเทพนิยาย
ซานฟรานซิสโก (San Francisco) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายชิคๆ ที่ควรลองไปสัมผัส เพราะมีที่เที่ยวและสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สวยงาม มีสะพานโกลเดนเกต หรือจะไปนั่งรถรางสุดคลาสสิค ซึ่งเป็นรถรางที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกชมเมืองซานฟรานซิสโก
ฮาวาย (Hawaii) ถือเป็นอีกหนึ่งมลรัฐของสหรัฐอเมริกา หากคุณอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศการเที่ยวทะเลที่ไทยมาลองสัมผัสบรรยากาศชาวเกาะแบบฮาวายแท้ๆ ดู ก็ต้องมาที่นี่ คุณอาจจะลองเรียนรู้การเล่นกระดานโต้คลื่น หรือแค่อาบแดดอยู่บนหาดทรายขาวก็ทำให้วันแห่งการพักผ่อนของคุณมีความสุขแล้ว
ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยังมีอีกหลายเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นรอให้เหล่านักเดินทางได้ไปสัมผัส ถ้าอยากไปอเมริกาแล้วอย่าลืมทำประกันการเดินทางออนไลน์กับ Tadoo